ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ ยังมีโครงการที่อยู่อาศัยที่ขายดีและประสบความสำเร็จ น่าศึกษาเป็นแบบอย่างที่น่าสนใจสำหรับนักพัฒนาที่ดินอื่น
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้จัดอันดับสินค้าที่ขายดีที่สุดแม้ในช่วงโควิด-19 ในรอบ 4 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่ายังมีสินค้าขายดี ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ย่ำแย่ไปทุกส่วน
อันดับ 1 ทำเล H7: บางปู เฉพาะสินค้าประเภท ทาวน์เฮาส์ ณ ระดับราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 100 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 100 หน่วย ปรากฏว่าขายหมดแล้ว รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 230 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 100.0% ที่เป็นเช่นนี้เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีราคาไม่แพง และตั้งอยู่ใกล้แหล่งงานและใกล้ตัวเมือง
อันดับ 2 ทำเล G4: ศรีนครินทร์-อุดมสุข เฉพาะสินค้าประเภท ทาวน์เฮาส์ ณ ระดับราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 158 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 156 หน่วย และเหลืออยู่ 2 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 431 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 98.7% อันดับที่ 2 ก็คล้ายกับ อันดับที่ 1 ที่เป็นสินค้าราคาปานกลางค่อนข้างถูก เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก
อันดับ 3 ทำเล G4: ศรีนครินทร์-อุดมสุข เฉพาะสินค้าประเภท ทาวน์เฮาส์ ณ ระดับราคาประมาณ 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 355 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 258 หน่วย และเหลืออยู่ 97 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 1,321 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 72.7% สินค้ากลุ่มนี้ (ราคา 3-5 ล้านบาทต่อหน่วย) ก็เป็นที่ต้องการที่แม้จะมีราคาสูงกว่ากลุ่ม 2-3 ล้าน แต่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เป็นที่ต้องการสูงเช่นกัน
อันดับ 4 ทำเล I2: ปทุมวัน เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 10.001-20.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 21 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 13 หน่วย และเหลืออยู่ 8 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 261 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 61.9% สินค้ากลุ่มนี้แม้มีราคาสูงถึง 10-20 ล้านบาทต่อหน่วย แต่โดยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และเป็นสิ่งค้าที่เป็นที่ต้องการและถือว่า "ขาดตลาด" ในขณะนี้
อันดับ 5 ทำเล I2: ปทุมวัน เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 83 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 47 หน่วย และเหลืออยู่ 36 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 697 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 56.6% สินค้ากลุ่มนี้ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับทำเล ก็เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อเช่นกัน แม้ในปัจจุบันกลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุน จะมีจำนวนลดน้อยลงก็ตาม
อันดับ 6 ทำเล I4: ยานนาวา-สีลม เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 28 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 15 หน่วย และเหลืออยู่ 13 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 198 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 53.6% กลุ่มนี้ก็คล้ายกลุ่ม อันดับที่ 5 ที่ขายดีที่สุด เพราะเป็นสินค้าคุณภาพที่ดีเป็นที่ต้องการของลูกค้า และในอนาคต โอกาสจะสร้างสินค้าแบบนี้อาจมีน้อยลงเนื่องจากอุปทานที่ดินลดลง
อันดับ 7 ทำเล A6: ลำลูกกา เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 0.500-1.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 154 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 82 หน่วย และเหลืออยู่ 72 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 151 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 53.2% สินค้ากลุ่มนี้มีราคาถูกเป็นพิเศษคือราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้นจึงได้รับการต้อนรับจากตลาดป็นอย่างมาก
อันดับ 8 ทำเล M5: สาย 7 ปิ่นเกล้า เพชรเกษม เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 0.500-1.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 237 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 120 หน่วย และเหลืออยู่ 117 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 191 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 50.6% กลุ่มนี้ก็คล้ายกับกลุ่มห้องชุดราคาถูกแถวลำลูกกา (ต่ำกว่า 1 ล้านบาท) ในย่านแหล่งงาน จึงมีผู้ซื้อมากเป็นพิเศษ โอกาสการสร้างสินต้าแบบนี้มีน้อย
อันดับ 9 ทำเล I4: ยานนาวา-สีลม เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 10.001-20.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 44 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 22 หน่วย และเหลืออยู่ 22 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 535 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 50.0% สินค้ากลุ่มนี้ก็คล้ายกับสินค้าที่ขายดี อันดับที่ 4, 5 และ 6 ที่เป็นห้องชุดคุณภาพใจกลางเมือง ซึ่งมีผู้ซื้อที่มีฐานะดี ไมได้รับผลกระทบจากโควิด-19
อันดับ 10 ทำเล L3: บางพลัด เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 154 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 62 หน่วย และเหลืออยู่ 92 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 374 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 40.3% สินค้ากลุ่มนี้ขายดีเนื่องจากการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ใกล้เสร็จแล้ว และเป็นรถไฟฟ้าสายในเมือง สามารถเชื่อมต่อไปในพื้นที่ต่างๆ ได้ดี
อันดับ 11 ทำเล B1: ติวานนท์-นวลฉวี เฉพาะสินค้าประเภท ทาวน์เฮาส์ ณ ระดับราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 360 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 139 หน่วย และเหลืออยู่ 221 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 814 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 38.6% กลุ่มทาวน์เฮาส์ย่านชานเมืองที่มีราคา 2-3 ล้านบาท คล้ายแถว บางปู ก็ได้รับการต้อนรับมากเช่นกัน
อันดับ 12 ทำเล I4: ยานนาวา-สีลม เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 49 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 18 หน่วย และเหลืออยู่ 31 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 3,394 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 36.7% เช่นเดียวกับ อันดับที่ 4, 5, 6 และ 9 ซึ่งเป็นอาคารชุดคุณภาพใจกลางเมือง ซึ่งทำให้เห็นว่าอาคารชุดใจกลางเมืองยังเป็นที่ต้องการสูง
อันดับ 13 ทำเล L2: บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฏว่ามีอยู่ทั้งหมด 406 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 146 หน่วย และเหลืออยู่ 260 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 1,031 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 36.0% ในทำนองเดียวกับสินค้าห้องชุด อันดับที่ 10 ซึ่งเป็นห้องชุดราคา 2-3 ล้านบาท ที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง และเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วง
อันดับ 14 ทำเล F4: ลาดพร้าว 91-บางกะปิ เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 71 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 25 หน่วย และเหลืออยู่ 46 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 128 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 35.2% สินค้ากลุ่มที่ 14, 15 และ 16 เป็นสินค้าห้องชุดราคา 1-2 ล้านบาท ซึ่งต่างก็สามารถขายได้ประมาณ 1/3 ในแต่ละเดือน
อันดับ 15 ทำเล G3: อ่อนนุช-ศรีนครินทร์ เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 373 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 121 หน่วย และเหลืออยู่ 252 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 589 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 32.4% สินค้ากลุ่มที่ 14, 15 และ 16 เป็นสินค้าห้องชุดราคา 1-2 ล้านบาท ซึ่งต่างก็สามารถขายได้ประมาณ 1/3 ในแต่ละเดือน
อันดับ 16 ทำเล A6: ลำลูกกา เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 114 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 36 หน่วย และเหลืออยู่ 78 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 142 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 31.6% สินค้ากลุ่มที่ 14, 15 และ 16 เป็นสินค้าห้องชุดราคา 1-2 ล้านบาท ซึ่งต่างก็สามารถขายได้ประมาณ 1/3 ในแต่ละเดือน
อันดับ 17 ทำเล I3: สุขุมวิท-พระราม 4 เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 194 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 57 หน่วย และเหลืออยู่ 137 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 565 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 29.4% เขตสุขมวิท-พระราม 4 นี้ยังมีความต้องการสินค้าประเภทห้องชุดในราคาที่ไม่แพง (2-3 ล้านบาทเท่านั้น) เป็นอย่างมาก
อันดับ 18 ทำเล D5: วัชรพล-คู้บอน เฉพาะสินค้าประเภท ทาวน์เฮาส์ ณ ระดับราคาประมาณ 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 129 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 34 หน่วย และเหลืออยู่ 95 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 432 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 26.4% ทาวน์เฮาส์กลุ่มนี้เป็นสินค้าคุณภาพในย่านนี้ แต่จะสังเกตว่าถ้าเป็นทาวน์เฮาส์ที่ราคาสูงกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จะทำให้ขายสินค้าได้ขาย
อันดับ 19 ทำเล L1: คลองสาน เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 69 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 18 หน่วย และเหลืออยู่ 51 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 431 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 26.1% กรณีนี้คงเป็นเพราะรถไฟฟ้าสายสีทองมากกว่าเหตุผลอื่น เพราะทำให้สินค้านี้เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก
อันดับ 20 ทำเล L2: บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ เฉพาะสินค้าประเภท ห้องชุด ณ ระดับราคาประมาณ 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย ปรากฎว่ามีอยู่ทั้งหมด 220 หน่วยที่เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2563 ปรากฏว่าขายได้แล้ว 56 หน่วย และเหลืออยู่ 164 หน่วย รวมมูลค่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นเงิน 704 ล้านบาท โดยนัยนี้ในแต่ละเดือนสินค้ากลุ่มนี้ขายได้ 25.5% กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง สินค้าห้องชุดที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท น่าจะยังเป็นที่ต้องการ (แต่ถ้าเกินนี้อาจจะขายได้ยาก)
นักพัฒนาที่ดิน สถาบันการเงิน นักลงทุน ผู้ซื้อบ้านควรพิจารณาสินค้าเหล่านี้ เช่น ในการอำนวยสินเชื่อสินค้าเหล่านี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ควรพัฒนา เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด อย่างไรก็ตามหาก “แห่” กันไปพัฒนาแบบเดียวกันก็อาจทำให้เกิดภาวะล้นตลาดก็ได้