เรามาลองตีราคาศาสนสถานเช่นวัดโบสถ์ต่างๆ กันดู เพราะทุกอย่างก็สามารถตีราคาได้ แต่บางคนบอกไม่ได้ เพราะมีคุณค่าทางจิตใจ ความจริงเป็นอย่างไร
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน ให้ความเห็นต่อการประเมินค่าทรัพย์สินประเภทโบสถ์วัดต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นที่ยึดเหนียวทางจิตใจในลักษณะที่มีคุณค่าสูงจนประเมินค่ามิได้ในบางครั้ง บางคนและบางกรณีก็ตาม
มีบทความที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งของ ฟาติมาสาร เรื่อง Churches for Sale (เสนอขายโบสถ์) <1> โดยเขียนไว้ว่า “วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกายังคงพ่นพิษไม่หยุด. . .อัตราคนไม่เชื่อพระเจ้าและไม่มีศาสนาสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นแบบนี้ โบสถ์คริสต์ก็ไม่มีคนไปร่วมพิธี ประกอบกับเศรษฐกิจตกต่ำส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของโบสถ์ ผลที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “การประกาศขายโบสถ์” เกิดขึ้นเยอะมากในยุโรปและอเมริกา”
ในบทความยังกล่าวว่า วาติกัน อินไซเดอร์. . .เปิดเผยตัวเลขว่า แต่ละปี นิกาย “แองกลิกัน” ในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ) จะประกาศปิดโบสถ์และ “ตั้งป้ายขาย” โบสถ์ที่ถูกปิดนั้น อย่างน้อย 20 แห่งต่อปี เนื่องจากโบสถ์เหล่านี้มีผู้มาร่วมพิธีน้อยมาก การขายโบสถ์เพื่อเก็บเงินสดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด. . .ยังมีให้เห็นแบบเกลื่อนที่สหรัฐอเมริกา. . .นักพัฒนาที่ดินหลายเจ้าชอบซื้อโบสถ์คาทอลิกไปทำธุรกิจอื่น อาทิ ร้านอาหาร รวมไปถึงผับบาร์ สาเหตุที่พวกนี้ชอบซื้อโบสถ์คริสต์เพราะดีไซน์การออกแบบภายในสวยงามเป็นที่ต้องตาต้องใจ (คนเหล่านี้ชอบภาพวาดเทวดาและภาพวาดบนเพดานโบสถ์). . .ตัวเลขที่ตุรกีค่อนข้างน่ากลัว เพราะมีโบสถ์คริสต์ถึง 38 เปอร์เซ็นต์จากทั้งประเทศ ถูกตั้งป้ายขาย
บทความดังกล่าวยังยกตัวอย่างอีกหลายประเทศ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน และ เดนมาร์ก และสรุปว่า “นี่ก็เป็นทิศทางวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติความเชื่อในศาสนาที่มาบรรจบกันอย่างไม่น่าเชื่อ สมัยก่อน ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ คนจะหันกลับมาหาพระเจ้าเพื่อหาที่พึ่งทางจิตใจ แต่ตอนนี้ วิถีแบบนั้นเริ่มหมดไป มันถูกพัฒนามาเป็นเทรนด์ใหม่ เศรษฐกิจตกต่ำ จิตใจคนในสังคมถอยห่างจากพระเจ้า ผลสุดท้ายก็คือขายโบสถ์ที่เป็นแหล่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตตัวเองให้รอด”
นี่เป็นเพียงการขาย การทำสงครามแย่งยึดศาสนสถานมายังมีมากมาย เช่น เปลี่ยนศาสนสถานของศาสนาหนึ่ง เป็นอีกศาสนาหนึ่ง จนกลายเป็นข้อพิพาททางประวัติศาสตร์มากมาย ว่ากันว่าจำนวนคนฆ่ากันตายเพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนามีมากกว่าเรื่องอื่นในโลกเสียอีก บ้างก็อาจไม่ยึด ไม่ซื้อขาย แต่เผาเสียเลย เช่น พม่ามาเผาวัดแทบทุกวัดในกรุงศรีอยุธยา หรือกองทัพไทยไปเผาวัดแทบทุกวัดในกรุงเวียงจันทน์ ทั้งที่ต่างก็นับถือพุทธศาสนากันทั้งสิ้น เป็นต้น
ในการประเมินค่าโบสถ์นั้น บางท่านอาจบอกว่า “หาค่ามิได้” แปลว่าราคาสูงมากจนประเมินค่ามิได้ เพราะเป็นที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้า แต่ในชีวิตจริงมีการขายโบสถ์กันมากมาย ยิ่งถ้าโบสถ์ไหนมี “สตอรี่” ให้เล่าขานถึงประวัติศาสตร์ ความศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ก็จะเป็นเสน่ห์เพิ่มมูลค่าในการขายเสียอีก ยิ่งถ้ามีสถานที่พอจัดงานแต่งงาน งานเลี้ยง ฯลฯ ก็ยิ่งมีค่า แต่ถ้าเป็นวัดธรรมดา เช่น วัดไทยในต่างประเทศที่สร้างแบบไม่ได้มีสถาปัตยกรรมแบบไทย เป็นอาคารทั่วๆ ไปที่ดัดแปลงเป็นวัด เป็นโบสถ์ ก็คงไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรเป็นพิเศษ แต่เครื่องยึดเหนี่ยวทางใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในกรณีวัดไทยจะเห็นได้ว่ามีความพยายามในการทำลายเหมือนกัน อาจเป็นเพราะความเชื่อต่างศาสนา โดย “เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 เวลาประมาณ 8.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ได้มีคนร้าย 1 คน บุกเข้าไปในบริเวณวัดพุทธภาวนา เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา. . .คนร้ายได้บุกเข้าไปในวัดแล้วจุดไฟเผาศาลเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งอยู่ด้านข้าง ทางทิศตะวันตกของ โบสถ์วิหาร. . .และยิงปืนขู่หลายนัด พระอาศัยอยู่ในวัดได้โทรแจ้งตำรวจท้องที่และสามารถจับกุมชายผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนเผาวัดได้ 1 คน เป็นคนผิวขาวร่างใหญ่ ซึ่งตรงกับคำให้การของเด็กวัดที่เห็นเหตุการณ์ โชคดีเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต”
ในข่าวดังกล่าวยังกล่าวว่า “เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2534 ได้เกิดโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่วัดพรหมคุณาราม วัดไทยที่ตั้งอยู่ที่เมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์ไทย เมื่อคนร้ายได้เข้าไปสังหารหมู่ พระธรรมทูต 6 รูป สามเณร 1 รูป เด็กวัด 1 คน แม่ชี 1 ท่าน รวม 9 ศพ ซึ่งได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์โลกว่าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม อำมหิต เกินกว่าที่ใครจะทำใจได้” อย่างไรก็ตามวัดนี้ก็ยังอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้กลายเป็นวัดร้างหรือขายให้ใครไป
ในการประเมินมูลค่าของโบสถ์นั้น คงต้องพิจารณาในหลายกรณี เช่น
1. ความเป็นไปได้ในการซ่อมแซม (หรือจะพังจนซ่อมไม่ได้ ต้องรื้อทิ้ง)
2. ต้นทุนในการซ่อมแซม-ปรังปรุงเพิ่มเติม (ถ้ามี)
3. ความเป็นไปได้ในการดัดแปลงไปใช้ในทางอื่น เช่น ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ฯลฯ
4. การขายความสูงในการก่อสร้างอาคารให้กับอาคารใกล้เคียงอื่น เพราะในบางประเทศ โบสถ์อยู่ในย่านผังเมืองที่อนุญาตให้สร้างสูงได้ 200 เมตร แต่โบสถ์สูงเพียง 80 เมตร สิทธิส่วนที่เกินก็สามารถขายได้
5. ความเป็นไปได้ในการรื้อโบสถ์ทิ้งไปสร้างเป็นอื่น
6. ราคาที่เคยมีการขายในอดีตในเชิงเปรียบเทียบ
7. ความเป็นไปได้ในด้านข้อกฎหมาย ผังเมือง เป็นต้น
ใครมีวัด มีโบสถ์ให้ประเมิน ให้ตีค่าเพื่อการซื้อ ขาย ร่วมลงทุน จำนอง ฯลฯ มาปรึกษาได้ครับผม
อ้างอิง
<1> ฟาติมาสาร - Churches for Sale (เสนอขายโบสถ์) 18 พ.ย.2012 www.popereport.com/2012/11/churches-for-sale-18-2012_94.html
<2> วัดไทยในสหรัฐฯถูก"ยิง-เผา"! พระธรรมทูตนิสิตสันติศึกษา"มจร" รุดถอดบทเรียนแก้รุนแรงด้วยสันติวิธี. บ้านเมือง 19 ธันวาคม 2562. https://www.banmuang.co.th/news/education/174078