AREA แถลง ฉบับที่ 95/2555: 16 สิงหาคม 2555
ตลาดอสังหาริมทรัพย์พัทยา
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
พัทยากำลังเติบโตอย่างมาก ถือเป็นเมืองอันดับสองรองจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีขนาดประมาณหนึ่งในเจ็ด ห้องชุดขายดีที่สุดโดยเฉพาะระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ในอนาคตพัทยายังจะพัฒนาไปอีกไกลมากหากมีทางด่วนเชื่อมต่อจากเส้นโทลเวย์ในปัจจุบัน รวมทั้งการสร้างรถไฟฟ้าในเมืองพัทยาเอง
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยผลการสำรวจตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์พัทยา 232 โครงการ ซึ่งนับเป็นการสำรวจที่กว้างขวางที่สุดในพื้นที่พัทยา ทั้งนี้ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยทุกชนิด และอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ
ผลการสำรวจพบว่า ณ เดือนกรกฎาคม 2555 มีจำนวนหน่วยขายรวมกัน 49,020 หน่วย ขายไปแล้ว 32,565 หน่วย และยังเหลือขายอยู่ 16,455 หน่วย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในพัทยาดีมาก คือน่าจะขายได้หมดภายในเวลา 4.4 เดือนเท่านั้น ในขณะที่กรุงเทพมหานครต้องใช้เวลาขายอีก 20 เดือนจึงจะขายสินค้าที่อยู่อาศัยได้ทั้งหมด
ดร.โสภณ กล่าวว่า 80% ของอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด เป็นห้องชุด นอกนั้นเป็นบ้านเดี่ยว 13% อันดับสามเป็นบ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ อย่างละ 3% และสินค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดขายในราคา 1-2 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท แต่ราคาเฉลี่ยตกเป้นเงิน 3.544 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครที่ 3.0 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะมีส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศอยู่ด้วย
ในด้านการขายพบว่า บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ขายช้า โดยต้องใช้เวลาขายถึง 19 เดือน อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มบ้านเดี่ยวที่ขายดีที่สุดจะมีราคาประมาณ 3-5 ล้านบาท ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอน ส่วนห้องชุดซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดนั้น ขายดีที่สุดในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยคาดว่าจะขายได้หมดในเวลาอีกไม่เกิน 3 เดือนข้างหน้า หากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก อย่างไรก็ตามห้องชุดราคาเกิน 3 ล้านบาท จะขายได้ช้าลง และโดยเฉพาะกลุ่มที่มี่ราคาเกิน 10 ล้านบาท กลับตกอยู่ในภาวะที่ชะลอตัว เพราะราคาแพงเกินความต้องการของผุ้ซื้อ
เฉพาะช่วงเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2555 มีโครงการเปิดใหม่อีก 43 โครงการ รวมจำนวน 7,417 หน่วย รวมมูลค่า 14,836 ล้านบาท ในจำนวนนี้ขายไปแล้ว 3,731 หน่วย เหลืออยู่ 3,686 หน่วย แต่คาดว่าจะขายได้อีกไม่เกิน 2 เดือนก็หมด สำหรับอสังหาริมทรัพย์ใหม่นี้ ซึ่งคงเป็นเพราะการกระตุ้นตลาดที่ดีนั่นเอง หากนับจำนวนหน่วยแล้ว 87% ของอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่นี้เป็นโครงการอาคารชุดซึ่งประกอบด้วยหน่วยขายถึง 87% ของทั้งหมด และห้องชุดที่เปิดมากที่สุดคือ ณ ราคา 1-2 ล้านบาท
หากพิจารณาเฉพาะห้องชุดทั้งหมดในพัทยาจะพบว่า มีราคาขายตั้งแต่ตารางเมตรละไม่ถึง 30,000 - เกือบ 200,000 บาท โดยห้องชุดที่ขายดีที่สุดมีราคาไม่เกิน 30,000 บาทกลุ่มหนึ่ง และราคา 40,000 - 50,000 บาท อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือห้องชุดราคาปานกลางและราคาค่อนข้างถูก ห้องชุดที่มีราคาเกินกว่า 120,000 บาทขึ้นไป จะขายไม่ดี เป็นสินค้าที่ไม่ควรสร้างขาย เพราะอุปสงค์มีจำกัดมากจริงๆ
หากพิจารณาถึงขนาดของห้องชุดจะพบว่า ห้องชุดขนาดไม่เกิน 40 ตารางเมตรขายดีที่สุด ที่มีขนาดหน่วยละ 71 ตารางเมตรขึ้นไป และโดยเฉพาะระดับที่มีขนาดหน่วยละ 121 ตารางเมตรขึ้นไป จะขายได้ช้าเป็นพิเศษ พื้นที่ ๆ ขายห้องชุดราคาโดยเฉลี่ยแพงสุดก็คือ แถวนาเกลือ-วงศ์อำมาตย์โดยขายในราคา 91,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนที่ถูก ๆ ราคาประมาณ 26,000 บาทต่อตารางเมตร จะอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของถนนสุขุมวิท ซึ่งนิยมก่อสร้างบ้านเดี่ยวมากกว่าสินค้าอื่น
อาจกล่าวได้ว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (กรกฎาคม 2554-2555) อสังหาริมทรัพย์ในพัทยาซึ่งประกอบด้วยทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ ขายได้รวมกัน 17,218 หน่วย รวมมูลค่า 44,668 ล้านบาท และส่วนใหญ่ที่ขายได้ประมาณ 80% ก็เป็นห้องชุด โดยเฉพาะห้องชุดราคา 1-2 ล้านบาทนั่นเอง
ขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองพัทยามีขนาดประมาณ 15% ของตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยถือเป็นอันดับที่สองของประเทศไทย พัทยายังจะเติบโตอีกมากเพราะมีศักยภาพสูง คือเป็นทั้งเมืองตากอากาศ เมืองบริหาร (เมืองพัทยา) เมืองอยู่อาศัยของคนทำงานทั้งไทยและเทศในอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เมืองธุรกิจ ปัจจัยที่จะทำให้พัทยาพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดก็คือการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะระบบทางด่วนเชื่อมจนถึงสุวรรณภูมิ และระบบรถไฟฟ้าในเขตเมืองพัทยาเอง
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน |