เมื่อเร็วๆ นี้มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ไล่แพทย์ที่แสดงออกทางการเมืองแตกต่างไปจากความคิดของเจ้าของโรงพยาบาล การกระทำแบบนี้ผิดกฎหมายแรงงานและที่สำคัญขาด CSR ผิดหลัก UNGC สถานประกอบการอื่นไม่พึงเอาเยี่ยงอย่างเพราะเท่ากับขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
UGGC หรือ UN โกลบอลคอมแพ็ก หรือข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) ก่อตั้งในปี 2543 เป็นข้อตกลงที่ไม่มีผลผูกพันของสหประชาชาติในการสนับสนุนธุรกิจทั่วโลกให้นำนโยบายที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคมมาใช้และรายงานการดำเนินงานของวิสาหกิจเหล่านี้ UN Global Compact เป็นกรอบการทำงานแบบอิงหลักการสำหรับธุรกิจโดยระบุหลักสิบประการในด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต วิสาหกิจทั้งใหญ่เล็กจึงควรเป็นสมาชิกเพื่อแสดงถึงความโปร่งใสน่าเชื่อถือ
องค์กรที่ไม่มีการยึดถือโกลบอลคอมแพ็ก ก็แสดงว่าเป็นองค์กรที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งในด้านสิทธิมนุษยชน แรงงานสัมพันธ์ การรักษาสิ่งแวดล้อมและการต่อต้านการทุจริต แสดงว่าเป็นองค์กรที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมหรือ CSR (Corporate Social Responsibility) และไม่อาจที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับในสังคม และย่อมไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน องค์กรคงไม่อยู่ยั้งยืนยังได้
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) เคยเป็น Focal Point หรือผู้ประสานงานของ UNGC ในประเทศไทย ชี้ว่าการมี UNGC เป็นการสร้างแบรนด์ของธุรกิจที่มีความสำคัญยิ่ง ทำให้เกิดมูลค่าเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) ที่เกื้อหนุนต่อธุรกิจของเราโดยเฉพาะ สำหรับหลัก 10 ประการของ UNGC ได้แก่:
ด้านที่ 1: สิทธิมนุษยชน
หลักข้อที่ 1: ธุรกิจควรสนับสนุนและเคารพการปกป้องสิทธิ-มนุษยชนที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ โดย AREA ได้ปฏิบัติตาม ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนโดยเคร่งครัด เพื่อนร่วมงาน (ตามมาตรา 1 ของปฏิญญา) “ตระหนักถึงการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยภราดรภาพ“ เราต้องส่งเสริมแนวคิดนี้ผ่านกิจกรรม เช่น กิจกรรมการแสดงความเคารพผู้มีวัยวุฒิสูงกว่าโดยไม่คำนึงถึงคุณวุฒิหรือสถานะการทำงาน
ตามมาตรา 2 ของปฏิญญา เราต้องไม่มีการปฏิบัติใดต่อเพื่อนร่วมงานและลูกค้าที่แสดงถึงการแบ่งแยกทางสีผิว เชื้อชาติ เพศ ภาษา ศาสนา การเมืองและความคิดเห็นที่แตกต่าง ชาติหรือวรรณะ และอื่น ๆ ทุกคนได้รับการปฏิบัติด้วยสิทธิที่เท่าเทียมกัน และตามมาตราที่ 18 “ทุกคนมีสิทธิต่อเสรีภาพทางความคิด จิตสำนึกและศาสนา”
หลักข้อที่ 2: ธุรกิจไม่พึงข้อแวะกับการกระทำที่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน
ด้านที่ 2: แรงงาน
หลักข้อที่ 3: ธุรกิจควรส่งเสริมและตระหนักถึงเสรีภาพในการก่อตั้งสหภาพแรงงานของพนักงาน
หลักข้อที่ 4: ธุรกิจต้องร่วมขจัดการบังคับการใช้แรงงาน
หลักข้อที่ 5: ธุรกิจต้องร่วมขจัดการใช้แรงงานเด็ก
หลักข้อที่ 6: ธุรกิจต้องไม่กีดกันการจ้างงานและอาชีพ
ด้านที่ 3: สิ่งแวดล้อม
หลักข้อที่ 7: ธุรกิจควรสนับสนุนการดำเนินการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อม
หลักข้อที่ 8: ธุรกิจควรแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ต่อความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม
หลักข้อที่ 9: ธุรกิจควรส่งเสริมและเผยแพร่เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ด้านที่ 4: การไม่ยอมรับการทุจริต
หลักข้อที่ 10: ธุรกิจควรดำเนินไป โดยปราศจากการฉ้อโกง ทุจริตและประพฤติมิชอบในทุกรูปแบบ รวมทั้งการบังคับ ขูดรีด และการติดสินบน ทั้งนี้อาจพิจารณาในกรณีภายในวิสาหกิจ และการให้สินบนอันเป็นการทุจริตในวงราชการ ก็เป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง
การปฏิบัติให้ครบถ้วนหรือไม่ละเมิดตามหลักการข้างต้น จึงถือว่าวิสาหกิจนั้น ๆ มี CSR ดังนั้น CSR จึงไม่ใช่การไปทำบุญเอาหน้า หรือสักแต่ทำทีดูแลสิ่งแวดล้อม หรือเลี่ยงไปทำดีทางอื่นในหน้าฉาก แต่หลังฉากกลับขูดรีด ฉ้อฉล เอาเปรียบผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยไม่ละอายและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
โดยที่ความคิดเรื่อง CSR ได้ถูก ‘จุดพลุ’ โดยประเทศตะวันตก จึงทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า CSR อาจเป็นเพียง ‘ลูกเล่น’ หรือเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า เช่นที่ประมหาอำนาจบางประเทศ อ้างคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ ในการรุกรานประเทศอื่น แต่ความจริง CSR เป็น ‘ของจริง’ ที่ยอมรับกันในสากลว่าทำแล้วได้ประโยชน์แก่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะวิสาหกิจที่ดำเนินการ และโดยมาตรฐานข้างต้น CSR ก็ไม่ใช่ ‘ของเล่น’ ใหม่สำหรับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบคุณหญิงคุณนาย ที่ไม่ก่อให้เกิดโภคผลที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรมากนัก แต่ให้น้ำหนักด้านการ ‘สร้างภาพ’ ให้คนที่ออกหน้าและ ‘เอาหน้า’ ได้ดีเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุด ไม่ควรเบี่ยงเบน CSR เพราะตามมาตรฐานสากล CSR ขั้นพื้นฐานที่ขาดเสียมิได้ ก็คือระดับที่กำหนดตามกฎหมาย (Hard Laws) หาไม่ย่อมถือเป็นการละเมิดและเป็นอาชญากรรม นอกจากนี้วิสาหกิจที่มี CSR ยังต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณหรือจริยธรรม ซึ่งถือเป็น ‘ข้อกฎหมายอย่างอ่อน (Soft Laws) เป็นลำดับที่สอง ส่วนระดับที่ 3 คือ ระดับอาสาสมัคร เป็นสิ่งมีคุณค่าที่ควรดำเนินการ แต่ต้องดำเนินการตาม Hard Laws and Soft Laws อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาจสรุปได้ว่า การมีความรับผิดชอบต่อสังคมตามมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้น ก็คือการให้วิสาหกิจทั้งหลายมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลาย โดยไม่ได้เป็นต้นทุนหรือเป็นภาระเพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นการลงทุนเพื่อประโยชน์ของวิสาหกิจนั้น ๆ ในการมีหลักประกันที่ดีทั้งต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุน คู่ค้า ลูกค้า ผู้บริโภค ชุมชนโดยรอบ สังคม สิ่งแวดล้อม และประเทศโดยรวม ในฐานะสมาชิกที่ดีของประชาคมนั่นเอง
การมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่กีดกันความคิดทางการเมืองศาสนา จึงเป็นพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของธุรกิจที่มีอารยะ