ว่ากันว่า “ชนชั้นใดเขียนกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น” ดูอย่าง พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ออกมาเมื่อปี 2562 จะเห็นได้ชัดว่ามีช่องโหวในการให้เศรษฐีเลี่ยงภาษีได้โดยง่าย เพียงให้ภาครัฐใช้ประโยชน์ชั่วคราวก็ได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว
มาดูในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนพิเศษ 162 ง 26 มิถุนายน 2562 หน้า 15 มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาทรัพย์สินของเอกชนเฉพาะส่วนที่ได้ยินยอมให้ทางราชการจัดให้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้:
สมมติเรามีที่ดินเปล่าแปลงหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ดินขนาดใหญ่โดยเฉพาะหากอยู่ใจกลางเมือง ต้องเสียภาษีมาก แต่เราก็ยังไม่อยากจะขายออกไป อยากรอให้ลูกหลานโตแล้วค่อยขายหรือให้เช่าทำประโยชน์เพื่อการเก็บกินใดๆ ก็ตาม ในระหว่างนี้ หากเราทำการการเกษตร ก็เสียภาษีน้อย โดยเฉพาะใน 3 ปีแรก ได้รับการยกเว้นภาษี แต่มีลู่ทางหลบเลี่ยงภาษีขั้นเทพแบบเท่ๆ ด้วยการให้ราชการใช้เพื่อสาธารณประโยชน์
วิธีการ “ให้ทางราชการจัดให้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์” ก็เช่น ทำเป็นสนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล ให้เยาวชนในท้องถิ่นได้มาเล่น โดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง เจ้าของที่ดินเพียงให้ใช้ที่ดินในรอบปีภาษีหนึ่งๆ เท่านั้น หรืออาจให้สำนักงานเขตใช้เป็นที่จอดรถของทางราชการ เพราะส่วนมากที่จอดรถของทางราชการไม่ค่อยพอจอดอยู่แล้ว หรือทำเป็นสวนพักผ่อน ฯลฯ ก็สามารถทำได้เลย
สมมติว่าเรามีที่ดินแปลง ขนาด 6 ไร่ใจกลางเมือง (นึกถึง “สวนชูวิทย์” เป็นตัวอย่าง เราก็อาจสร้างสวนพักผ่อนหย่อนใจให้คนมาใช้สอยในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนก็ปิดเพื่อแสดงสิทธิของเรา อันนี้ก็ถือได้ว่าได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว เราก็ไม่ต้องเสียภาษีใดๆ เลย สมมติกรณีที่ดินของเสี่ยชูวิทย์ ขณะนี้อาจมีราคาตารางวาละ 3 ล้านบาท หรือไร่ละ 1,200 ล้านบาท ที่ดิน 6 ไร่ ก็รวมเป็นเงิน 7,200 ล้านบาท
ถ้าเสี่ยชูวิทย์ต้องเสียภาษีในฐานะที่ดินเปล่าสัก 1% ก็เป็นเงินสูงถึง 72 ล้านบาทเข้าไปแล้ว เสี่ยชูวิทย์จะยอมเสียภาษีไปทำไม ออกเงินมาทำสวนเพื่อลดทอนกระแสลบของตนเองในช่วง “รื้อบาร์เบียร์” แล้วยังได้บำเพ็ญประโยชน์ ไม่ต้องเสียภาษีอีกต่างหาก ถ้าเสี่ยชูวิทย์ไม่ต้องเสียภาษีสัก 10 ปีๆ ละ 72 ล้านบาท ก็ประหยัดเงินไปตั้ง 720 ล้านบาทเข้าไปแล้ว
ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สำนักงานเขตคลองเตยอาจมอบโล่ในฐานะผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมได้อีกทางหนึ่ง เพราะตามมาตรฐานกฎหมายที่บิดเบือนเข้าข้างคนรวยๆ นั้น การเลี่ยงกฎหมายนี้ถือเป็นการทำดีเพื่อสังคม มาตรฐานความดีในสังคมแห่งการบิดเบือนจึงเป็นเช่นนี้เอง แต่ถ้ามองในแง่ว่าประเทศไทยเป็นเหมือนอารยประเทศ เสี่ยชูวิทย์คงต้องเสียภาษีอานไปเลย ประเทศชาติก็จะได้เงินภาษีมาพัฒนาประเทศอีกมากมาย คนไทยก็จะอยู่ดีกินดีกว่านี้อย่างแน่นอน
แต่ถ้าไม่อยากเสียภาษี ก็ต้องนำที่ดินไปพัฒนาหรือขายทิ้งไปเลย เอาเงินเก็บไว้ ถ้าเจ้าของที่ดินว่างเปล่าใจกลางเมืองถูกบีบให้ขาย ราคาที่ดินใจกลางเมืองก็ไม่ถีบตัวสูงขึ้นเช่นทุกวันนี้ ประชาชนก็จะสามารถมีบ้านได้ง่ายขึ้น เมืองไม่ต้องขยายออกไปรอบนอกเพราะเจ้าของที่ดินใจกลางเมือง “อม” ที่ดินไว้ไม่ขายเพราะกฎหมายอนุญาตให้เลี่ยงภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ชอบธรรมและถือเป็นความดีอีกต่างหาก
มาตรฐานความดีในสังคม “ตอแหลแลนด์” ก็เป็นเยี่ยงนี้เอง