จะมีใครอยากเห็นประเทศชาติเสื่อมทรุด แต่แนวโน้มมีว่าประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม จะมีการเสื่อมทรุดครั้งใหญ่ เราคนไทยย่อมไม่อยากให้เกิดหายนะแก่ประเทศไทย แต่หายนะกำลังจะมา หากเราไม่เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมตัวแก้ไข
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) มองจากข้อมูลของธนาคารโลกสรุปได้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะหายนะอย่างแน่นอน ข้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่อาจเกิดขึ้นได้ในไม่ช้านี้ เพราะ
1. เศรษฐกิจไทยปี 2563 อาจติดลบ 8.3% - 10.4% ต่ำที่สุดในอาเซียน (ไม่รวมกับบรูไน) ปี 2563 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวแต่ก็ฟื้นตัวต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้
2. ไทยใช้งบเยียวยาสูงสุดในภูมิภาค โดยใช้ถึง 13% ของจีดีพี แต่ยังไม่ตรงจุดมากนัก แสดงว่าเงินกู้มากมายหลายล้านล้านบาทที่รัฐบาลไทยอ้างว่ามากู้เพื่อแก้วิกฤตินั้นเป็นการสร้างหนี้อย่างไม่มีประสิทธิผล ไม่มีประสิทธิภาพ และจะส่งผลร้ายแก่ประชาชนไทยในระยะยาว
3. ครึ่งปีแรกการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนต่างชาติลดลง 34% นี่แสดงว่ารัฐบาลไม่สามารถกระตุ้นการลงทุนได้จริง สู้เวียดนามและอินโดนีเซียไม่ได้เลย กลุ่มทุนต่างๆ ย้ายหนีจากไทยไปโดยที่รัฐบาลไทยไม่สามารถทำอะไรได้เลย แสดงว่าการไป Roadshow ต่างประเทศในช่วง ดร.สมคิด ล้วนไร้ประสิทธิผล
4. ประเทศไทยขาดการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีการเรียกร้องอันเนื่องจากมีรัฐประหาร จึงทำให้ประเทศมีปัญหาในสายตาของต่างประเทศ ในประเทศอื่นก็มีการประท้วงรัฐบาล แต่รัฐบาลประเทศอื่นก็ไม่ใช่ พรก.ฉุกเฉินจัดการแบบประเทศไทย ทำให้บรรยากาศการลงทุนเสียหาย ทุนต่างชาติยิ่งย้ายไหลออกไปไม่หยุด
ในขณะที่เมื่อ 10 ปีก่อน อินโดนีเซียที่เคยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพียงครึ่งเดียวของไทย และเวียดนามมีรายได้เพียง 1/3 ของไทย แต่ในขณะนี้กลับเติบโตอย่างรวดเร็วจนใกล้ทัดเทียมไทยแล้ว ในอนาคตคนไทยอาจต้องไปขายแรงงานในประเทศเวียดนาม หรืออินโดนีเซีย เฉกเช่นที่ประเทศในยุโรปตะวันตกไปทำงานในยุโรปตะวันออกในช่วงบูมก็อาจเป็นไปได้ ความเสื่อมทรุดของประเทศในทุกด้านก็จะตามมา พอนึกภาพออกหรือยังครับ หายนะกำลังคืบคลานมา หากเรายังมีบรรยากาศการเมืองแบบนี้
ตลอดยุคที่ผ่านมา ไทยเคยรุ่งเรืองเป็น “เสือตัวที่ 5” ของเอเชีย อันมีเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน แต่ตอนนี้มาเลเซียก็แซงไทยไปกว่าช่วงตัวแล้ว รายได้ประชาชาติต่อหัวก็สูงกว่าไทยถึงเกือบเท่าตัวแล้ว ไทยเคยเป็นแหล่งที่ปลอดภัยเพราะ
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่าหลังจากการทำรัฐประหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะ กลับกลายเป็นว่า ยาบ้าเกลื่อนเมือง หวยใต้ดินระบาด ล็อตเตอรี่ก็ขายเกินราคา อาวุธปืนก็เกลื่อนไปหมด สังคมแบบนี้จึงย่อมไม่สงบสุข แสดงถึงความเสื่อมทรุดทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างเห็นได้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน
จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีระบอบเผด็จการทรราชที่ผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์แก่พวกพ้อง มักจะไม่เจริญ เช่น
ในประเทศไทยที่เราโค่นล้ม 3 ทรราชไปแล้ว แต่ทำไมจึงมีทรราชเข้ามาอีกมากมายเป็นระยะๆ มีรัฐประหารอยู่ร่ำไป ข้อนี้คงไม่อาจตอบได้ชัดเจนในวันนี้ แต่ที่แน่นอนก็คือรัฐประหารทำให้ประเทศชาติเสื่อมทรามลง เศร้าหมองลง ระบอบเผด็จการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยย่อมเอื้อเฟื้อต่อพวกพ้อง ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ผู้รับกรรมก็คือประชาชนนั่นเอง
ดังนั้นในวันหน้าประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม ก็คงใกล้จะแซงไทยอยู่แล้ว เมื่อนั้นคนไทยเราก็คงมีรายได้น้อย ฝันร้ายก็คือไทยที่มีการต่อสู้กับระบอบเผด็จการอย่างยืดเยื้อ ก็อาจยิ่งเสื่อมทรุดคล้ายเมียนมา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียในอดีต ลูกหลานคนไทยอาจต้องไปเรียนต่อที่ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ หรือไปทำงานขายแรงงานยังประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อนั้นไทยคงอดสูน่าดู
ต้องทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตย ก่อนที่ไทยจะเสื่อมทรุดลงไปกว่านี้
ที่มา: https://www.bangkokbanksme.com/en/economic-analysis-6-asean-nation-covid-19