AREA แถลง ฉบับที่ 135/2555: 6 พฤศจิกายน 2555
จัดอันดับขนาดการพัฒนาของเมืองทั่วประเทศ
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
กรุงเทพมหานครและปริมณฑลนับเป็นเมืองโตเดี่ยว จากการจัดอันดับของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส โดยมีขนาดประมาณ 52.1% พิจารณาจากมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ยังคงเหลืออยู่ในตลาด ณ ปีพ.ศ.2555
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ยังคงเหลืออยู่รอการขายทั้งหมด 342,030 ล้านบาท หรือเป็นสัดส่วนประมาณ 52.1% ของมูลค่าคงเหลือทั่วประเทศ 655,866 ล้านบาท โดยนัยนี้จึงถือว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองโตเดี่ยว (Primate City) เพราะกรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์รวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ
มูลค่าข้างต้นนี้ประกอบด้วยจำนวนหน่วยขายที่เหลืออยู่ประมาณ 129,000 หน่วย ซึ่งถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.4 ล้านหน่วย หรือเทียบได้ประมาณ 3% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด ในขณะที่ในช่วงปี 2540-2542 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ มีอุปทานที่เหลืออยู่มีถึงประมาณ 5% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด
พัทยานับเป็นนครขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศโดยมีมูลค่าคงเหลือประมาณ 59,160 ล้านบาท หรือประมาณ 9% ของมูลค่าคงเหลือที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ อันดับที่ 3 คือภูเก็ต อันดับที่ 4 คือชะอำ หัวหิน อันดับที่ 5 คือเชียงใหม่ และอันดับที่ 6 คือ สมุย จะสังเกตได้ว่านครเหล่านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีเพียงเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นเมืองหลักในจังหวัดภูมิภาค ในจำนวน 6 นครแรกนี้มีมูลค่ารวมกันถึงประมาณ 79% ของมูลค่าคงเหลือที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ
ข้อสังเกตที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การผนึกรวมกันของอภิมหานครขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผนึกรวมกับนครต่าง ๆ ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทางราชการจะจัดเตรียมสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการขยายตัวของอภิมหานครนี้ โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบเครือข่ายทางด่วน รถไฟ และระบบรถไฟฟ้าในแต่ละนครย่อย
ยิ่งกว่านั้นสนามบินอู่ตะเภาทางภาคตะวันออก ควรจะนำมา “ปัดฝุ่น” ให้เป็นสนามบินพาณิชย์รองรับการเจริญเติบโตของการพัฒนาภาคตะวันออก ซึ่งมีสัดส่วนของจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ถึงหนึ่งในสามของตลาดกรุงเทพมหานคร หรือเป็นเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท จึงมีความต้องการใช้สนามบินเป็นอย่างมาก ซึ่งเท่ากับค่าก่อสร้างสนามบินใหม่ถึงหนึ่งสนาม แต่เงินจำนวนหนึ่งแสนล้านบาทนี้ เป็นมูลค่าโครงการขายที่อยู่อาศัยเพียงปีเดียวของภาคตะวันออกเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นสนามบินอู่ตะเภายังมีศักยภาพสามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ระดับ Airbus A380 อยู่แล้ว
ในอันที่จริงประเทศไทยมีประชากรเมืองอยู่ประมาณ 34% หรือ 22.78 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และโดยที่กำลังซื้อในเขตนี้มีสูงกว่านครอื่น ๆ ทั่วประเทศจึงทำให้สัดส่วนที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสูงถึง 52.1% ดังกล่าว หากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งมีฐานะยากจนกว่าประเทศไทยถึงประมาณครึ่งหนึ่งจะพบว่าประเทศทั้งสองมีจำนวนประชากรในเขตนครมากกว่า คือประมาณ 44% และ 49% ตามลำดับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าประเทศทั้งสองมีสภาพเป็นเกาะนับหมื่นเกาะ ประชากรจึงอาศัยอยู่ในเขตเมืองท่าเป็นสำคัญ ในขณะที่ประเทศไทยเป็นผืนแผ่นดินติดต่อกันประชากรจึงเข้าบุกรุกถากถางป่าเพื่อสร้างหมู่บ้านชนบทในการอยู่อาศัยมากกว่าจะย้ายเข้าเขตเมือง
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน |