ปกติประเทศไทยไม่เคยถือตรุษจีนเป็นวันหยุด มาในปีนี้รัฐบาลกลับให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุด แต่ ดร.โสภณไม่หยุดและไม่เห็นด้วยที่จะหยุด
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่าปกติที่บริษัทไม่เคยถือตรุษจีนเป็นวันหยุดมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเมื่อ 30 ปีก่อน แต่เพื่อนร่วมงาน (พนักงาน) ท่านใดจะหยุดตามประเพณี ไปไหว้เจ้า หรือไปเที่ยวกับครอบครัว ก็สามารถลาได้ เพราะทุกคนมีสิทธิลากิจ ลาพักร้อนกันเต็มที่อยู่แล้ว
อาม่า (คุณยาย) ของ ดร.โสภณ เคยบอกว่าในช่วงวันตรุษจีน อย่าทำจานชามแตกเพราะจะทำให้เรามักทำแตกไปตลอดปี แต่ความจริงคงเป็นการสอนให้เด็กๆ มีความระมัดระวัง เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว มักมีการไหว้เจ้า มีการเลี้ยงฉลองกันโดยเฉพาะในคืนส่งท้ายปีเก่า (ปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564) สมาชิกในครอบครัวมักจะ “ถือเคล็ด” ต้องมาล้อมวงรับประทานอาหารกันเพราะความกลมเกลียวในครอบครัวนั่นเอง ซึ่งก็คล้ายกับวันคริสมาสกับฝรั่งที่มักจะรวมสมาชิกในครอบครัวในช่วงเวลาดังกล่าว
ด้วยเหตุข้างต้นนี้ ดร.โสภณ ก็ “ถือเคล็ด” (คล้ายกับการไม่ทำจานชามแตก เพราะจะแตกไปตลอดปี) ว่าไม่หยุดงานในวันตรุษจีน เพื่อว่าทั้งปีจะได้มีงานทำไปโดยตลอด เพราะถ้าบริษัทมีงานทำไปตลอดปี ก็มีรายได้ ก็จะสามารถสร้างกำไร และทำให้เพื่อนร่วมงานของเราอยู่ได้อย่างผาสุกนั่นเอง ยิ่งในช่วงโควิดนี้ ผู้คนยิ่งตกงานกัน รายได้โดยรวมฝืดเคือง การมีงานทำไปตลอดปี จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในขณะนี้
การ “ถือเคล็ด” แบบนี้คงไม่ใช่ความงมงายอะไร แต่เป็นการส่งเสริมให้เพื่อนร่วมงานรักการทำงาน ส่วนวันหยุดในแต่ละปีก็มีอยู่ 14 วันตามกฎหมาย บางทีก็ยังมีวันหยุดพิเศษตามรัฐบาลสั่ง และลากิจ ลาพักร้อนได้อีก 12 วันอยู่แล้ว เราทำมาหากินด้วยความสุจริตโดยเฉพาะในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน และนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ เราไม่ได้เลียใครกิน ไม่ได้ทำงานสีเทาๆ ไม่ได้ (ร่วม) ประกอบอาชญากรรมกับใคร จึงต้องทำงานเพื่อแลกกับเงินมาจุนเจือครอบครัวตามเอกัตภาพ
รัฐบาลควรส่งเสริมให้คนทำงานให้มาก เพราะพัฒนาประเทศชาติ ปกติราชการก็หยุดกันมากมายในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงปี 2564 แต่กลับส่งเสริมให้หยุดกันมากมายอีกหลายต่อหลายวัน การกระทำอย่างนี้คงไม่ได้ช่วยให้เกิดการท่องเที่ยวอะไรมากมายนัก แต่ทำให้งานพัฒนาชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมหยุดชะงักมากกว่า ทำให้ข้าราชการที่หยุดมากมาย ก็ยังได้เงินเดือนและรายได้ต่างๆ เหมือนเดิม ในขณะที่ประชาชนยิ่งลำบาก เพราะยิ่งหยุดมาก ประชาชนผู้มีรายได้น้อย พ่อค้า แม่ค้า คนหาเช้ากินค่ำ ก็ยิ่งไม่มีรายได้ ประเทศจะยิ่งเสื่อมทรุด
ความขยันหมั่นเพียรในการทำงาน ย่อมนำมาสู่ความสุขและความสำเร็จในที่สุด