ขนาดตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูมิภาคทั่วประเทศรวมกัน ยังน้อยกว่าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ก็มีขนาดมหาศาลเช่นกัน จังหวัดไหนใหญ่สุด บริษัทไหนใหญ่สุด บริษัทไหนไปยึดหัวหาดจังหวัดไหนบ้าง
จากข้อมูลล่าสุด ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เผยผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563 รวมเวลา 26 ปี พบว่า มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งหมด 17,785 โครงการ รวม 3,191,675 หน่วย มีมูลค่า 8,949,939 ล้านบาท หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.804 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ 2,369,251 หน่วย (74%) พัฒนาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่อยู่ในต่างจังหวัดเป็นเพียงอีกหนึ่งในสี่เท่านั้น ยิ่งในแง่ของมูลค่าปรากฏว่ามูลค่าการพัฒนาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลสูงถึง 6,555,888 ล้านบาท หรือ 73% ของทั้งหมดในตลาดทั่วประเทศ
ณ สิ้นปี 2563 จังหวัดที่มีหน่วยขายมากที่สุด เรียงตามจำนวนหน่วยขายที่มีอยู่มากที่สุด ได้แก่ จังหวัดชลบุรีเป็นอันดับแรก ทั้งนี้มีหน่วยขายรอการขายอยู่ 36,013 หน่วย ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยคือ 2.804 ล้านบาท ซึ่งยังน้อยกว่าหน่วยเหลือขายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีรอขายอยู่ถึง 226,645 หน่วย ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ ได้สำรวจโครงการที่อยู่อาศัย 1,457 โครงการ รวม 252,698 หน่วย รวมมูลค่า 708,607 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะจังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดหลักในภูมิภาคที่มีการพัฒนาทั้งแหล่งท่องเที่ยว แหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั่นเอง
อันดับที่สองก็คือระยอง มีจำนวนหน่วยเหลือขายอยู่ 19,585 หน่วย และหากพิจารณาในอันดับที่ 6 คือฉะเชิงเทรา ซึ่งมีหน่วยเหลือขายอีก 7,059 หน่วย ก็คือได้ว่าในภูมิภาคระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกมีหน่วยรอขายหรือเหลือขายรวมกันถึง 62,657 หน่วย หรือคิดเป็น 56% ของจำนวนหน่วยรอขายทั้งหมดใน 10 จังหวัดแรก ในอนาคตมีโอกาสที่ภูมิภาคระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะเชื่อมต่อกันเป็นผืนเมือง (Urban Field) ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหรือในภูมิภาคอาเซียนนี้
ถ้าไม่นับรวมภาคตะวันออก เชียงใหม่มีหน่วยเหลือขายมากเป็นอันดับที่ 3 จำนวน 12,761 หน่วย แสดงว่าเมืองหลักที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคก็คือเชียงใหม่นี่เอง เพราะเป็นทั้งศูนย์การบริหารภาคเหนือ ศูนย์ท่องเที่ยว และศูนย์ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ส่วนนครราชสีมา ขอนแก่นและหาดใหญ่ ถือเป็นเมืองหลักในภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในอันดับรองลงมา
ส่วนจังหวัดท่องเที่ยวอันได้แก่บริเวณชะอำ-หัวหิน (เขตเชื่อมต่อของจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์) และภูเก็ต ก็มีหน่วยขายเหลืออยู่มากเป็นอันดับที่ 4 และ 7 จำนวน 8,708 หน่วย และ 6,171 หน่วยตามลำดับ แสดงว่าเมืองท่องเที่ยวก็มีความสำคัญไม่น้อยที่ทำให้เมืองมีการเติบโตขึ้นมากเช่นกัน เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมา โควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวตกต่ำลง หากไม่มีปัญหานี้ อันดับของชะอำ-หัวหิน และภูเก็ตอาจขยับขึ้นสูงกว่านี้
จะสังเกตได้ว่าในจำนวน 10 บริษัทใหญ่สุดในภูมิภาคนี้มีเพียง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนาดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ และ บมจ.ไอทาวน์โฮลดิ้ง (อันดับที่ 7, 9 และ 10 ตามลำดับ) ที่เป็นบริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 การนี้แสดงว่ามีโอกาสน้อยมากที่บริษัทใหม่ๆ จะสามารถแทรกมาครองแชมป์ในตลาด
สำหรับอันดับของบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดจากฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยที่สำรวจมาตั้งแต่ปี 2537 พบว่า บมจ.ศุภาลัยเป็นแชมป์อันดับที่ 1 โดยพัฒนาในภูมิภาคแล้ว 115 โครงการ รวม 25,742 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม 75,540 ล้านบาท ขายเหลืออยู่ 8,650 หน่วย และมีราคาขายเฉลี่ย 2.935 ล้านบาท
ส่วนอันดับสองคือ บมจ.แสนสิริ ที่พัฒนา 58 โครงการ รวม 23,866 หน่วย เหลือขายอยู่ 2,626 หน่วย มีราคาขายเฉลี่ย 2.630 ล้านบาท ทั้งนี้แต่เดิมในผลการสำรวจเมื่อปี 2560 บมจ.แสนสิริเคยนำเป็นอันดับหนึ่งมาก่อน แต่ในระยะหลัง บมจ.ศุภาลัย “มาแรง” เป็นอย่างมาก ส่วนอันดับที่สาม เป็นของ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่พัฒนาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
อับดับที่สี่คือ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลล็อปเมนท์ ซึ่งพัฒนาเพียง 8 โครงการในภูมิภาคแต่มีหน่วยขายมากเพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่พิเศษ และมีราคาขายเฉลี่ยเพียง 1.542 ล้านบาท ส่วนอันดับที่ 5 คือ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ ที่พัฒนาถึง 57 โครงการ แต่มีจำนวนหน่วยเพียง 11,220 หน่วย และมีราคาต่อหน่วยคือ 4.907 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงสุดในหมู่บริษัทที่ไปพัฒนาในจังหวัดภูมิภาค
หากวิเคราะห์แยกตามรายจังหวัด จะพบว่า บมจ.ศุภาลัย แชมป์อันดับหนึ่งมีการพัฒนาที่ค่อนข้างหลากหลายถึง 15 จังหวัด เช่น ชลบุรี ภูเก็ต สงขลา เชียงใหม่ ระยอง ขอนแก่น อุดรธานี เป็นต้น ส่วน บมจ.แสนสิริ ก็พัฒนาถึง 13 จังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น ชลบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา หาดใหญ่ ระยอง เชียงราย สุราษฎร์ธานี พระนครศรีอยุธยาและพิษณุโลก
อันดับ 3 คือ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท พัฒนาอยู่ 8 จังหวัดหลักคือ ชลบุรี ภูเก็ต พระนครศรีอยุธา เชียงใหม่ ขอนแก่น สระบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา สำหรับอันดับ 4 คือ บมจ.แอลพีเอ็นดีเวลลอปเม้นท์ พัฒนาเฉพาะชลบุรี เพชรบุรี และอุดรธานี และบริษัทอันดับ 5 คือ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ก็พัฒนาในเมืองหลักคือ เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา อุดรธานี มหาสารคาม ประจวบคีรีขันธ์ เชียงราย และนครปฐม
ในอนาคตเมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะปกติการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย ชะอำ พัทยา ก็คงฟื้นตัวเช่นเดิม และภูมิภาคที่น่าจับตามองเป็นพิเศษก็คือภูมิภาคระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก นอกจากนั้นเมืองที่น่าสนใจในอนาคต จะเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น แม่สาย แม่สอด เป็นต้น แต่ในปัจจุบันยังคงต้องรอคอยสักระยะหนึ่ง