วันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปีที่ผมนอนค้างอ้างแรมที่สนามบินจาการ์ตา 2 คืนในระหว่างที่ผมไปงานกาล่าดินเนอร์สุดหรูแต่กลับนอนสนามบินโดยไม่เสียตังค์ หวังประหยัด และทดสอบร่างกายว่ายังไหว ถือเป็นการบำเพ็ญทุกรกิริยา!
ในระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2559 ผมไปกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยได้รับเชิญให้ไปร่วมงานมอบรางวัลอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินดีเด่นประจำปีในแบบงานกาล่าดินเนอร์สุดหรู ผมก็ตกปากรับคำไปตามคำเชิญเพื่อการสานสัมพันธ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์อาเซียน แต่งานนี้ต่างจากการรับเชิญไปบรรยาย ซึ่งผู้เชิญจะออกค่าวิทยากร ค่าที่พักและค่าเครื่องบิน (บางครั้งก็ชั้นธุรกิจ) ให้
ผมจึงจองตั๋วโดยสารของสายการบินแอร์เอเชีย (ราคาถูกแต่บริการดี) ผมเลือกเที่ยวบินที่ถูกสุด โดยบินจากกรุงเทพมหานครตอน 20:50 ของวันที่ 17 สิงหาคม (เพื่อได้ทำงานได้ทั้งวันก่อนบิน) ถึงเที่ยงคืนเศษ (00:15) ของวันรุ่งขึ้น ส่วนขากลับ ผมจำเป็นต้องมาสอนหนังสือตลอดบ่ายวันศุกร์ (13:00-17:15) เลยตีตั๋วเที่ยวเช้า 06:55 ถึง 10:30 ซึ่งแพงกว่าปกติสักหน่อย
พอถึงสนามบินกรุงจาการ์ตา แทนที่ผมจะนอนโรงแรมในสนามบินซึ่งเสียค่าใช้จ่ายราว 2,000 บาท ผมก็ตัดสินใจนอนตรงม้านั่งในสนามบินเสียเลย นอนฟรีราว 5 ชั่วโมง อาจไม่สะดวกนัก แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้มานอนแบบผมกันพอสมควรทั้งชาวอินโดฯ และฝรั่งมังค่า ผมก็ไม่เขินอาย นอนบ้าง จะได้กระทำ "ทุกรกิริยา" ฝึกตนให้ลดอัตตาลงบ้าง พอรุ่งเช้า เลาจน์หรูที่ผมเป็นสมาชิก (Priority Pass) เปิด ผมก็ได้ไปอาบน้ำและทานอาหารเช้าก่อนมาพบเพื่อนชาวอินโดฯ ซึ่งเป็นเลขาธิการสมาคมอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่มาพาผมไปพบนักพัฒนาที่ดินในเวลา 08:00
ผมและเพื่อนได้ไปพบปะสานสัมพันธ์ทางธุรกิจหลายรายจนถึง 16:00 เพื่อนก็เข้าโรงแรมนอนพักผ่อน ผมก็ยังออกมาเดินถ่ายคลิปวีดีโอเกี่ยวกับกรุงจาการ์ตาเพื่อเผยแพร่ในรายการ “เด็ดอสังหาฯ” (http://goo.gl/r9TCtY) จากนั้นก็กลับไปที่โรงแรม เพื่อนก็เมตตาให้ความอนุเคราะห์ให้ผมได้อาบน้ำแต่งตัวก่อนไปงานกาล่าดินเนอร์ด้วยกัน พอเสร็จงาน แทนที่จะนอนโรงแรม Raffles สุดหรูซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน (คืนละเกือบ 9,000 บาท) ผมก็ออกจากงานมาที่สนามบินเลย
ผมถึงสนามบินเวลา 23:00 จับจองม้านั่งได้แล้ว ก็นอน โดยเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดแทนเสื้อเชิ้ตที่ใส่พักเดียวในงานกาลาดินเนอร์ และเช่นเดียวกับคืนก่อนหน้า ผมนอนๆ ไปก็รู้สึกหนาวบ้าง เลยได้นำสูทที่ใส่ไว้ในกระเป๋ามาห่ม ก็เลยได้นอนสบายที่สนามบินไป 2 คืน รุ่งเช้าก็ค่อยเข้าเลาจน์ไปอาบน้ำทานอาหารให้อิ่มหนำสำราญก่อนกลับ ผมประหยัดเงินได้ราว 4,000 บาท หากรวมค่าเครื่องบินที่ประหยัดได้แล้ว ก็คงประหยัดไปร่วมหมื่นบาท แถมมีเวลาทำงานได้เต็มที่เช่นเดิม
ในการนอนที่สนามบินแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ทำคือการถอดรองเท้า เหตุผลหนึ่งก็คือกลัวหาย บางคู่ศรีภริยาเจ้ากี้เจ้าการซื้อให้ในราคาเป็นหมื่น แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเป็นการรักษาสุขภาพ พอนอนตกดึกหนาวๆ ใส่รองเท้าอุ่นๆ ไว้ ก็จะรู้สึกดี อีกสิ่งหนึ่งที่ขอบอกก็คือถึงแม้จะหนาวแค่ไหน (เช่นตอนไปนอนสนามบินที่กรุงลอนดอนในหน้าหนาว) แต่ถ้าใส่เสื้อหรือห่มให้หน้าอกอุ่นเอาไว้ แม้ขาจะเย็นเพียงใด ก็จะไม่เป็นหวัด
ที่ผมทำไปนี้ ผมไม่ได้ตระหนี่นะครับ ผมก็มักไปบริจาคในโอกาสต่างๆ ออกบ่อย แต่ผมชมชอบการประหยัดทรัพยากรของโลกครับ จริงอยู่ ผมพอมีฐานะที่จะนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ นอนโรงแรมหรูๆ ไปไหนจะได้ยืดอกชูคอ ทริปนี้ผมอาจใช้เงินบริษัทของผมเองไปราว 30,000 บาท แถมหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ จะได้ไม่ต้องเสียภาษีมาก แต่นั่นไม่ใช่แนวของผมครับ ผมประหยัดเงินให้บริษัทผมเองมากหน่อย ก็จะได้จัดสวัสดิการ จ่ายโบนัสให้พนักงาน และปรับเงินเดือนขึ้นปีละ 2 ครั้งตามปกติดีกว่าครับ
ผมทำได้อย่างนี้นั้น ยังมีปัจจัยอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่ได้ใส่นาฬิการาคาแพงนับแสนๆ บาทไปด้วย ไม่ได้ใส่สร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองราคานับแสนไปด้วย ไม่ได้พกเงินสดเป็นฟ่อนๆ ไปด้วย ไม่ได้มีกระเป๋าเดินทางราคาแสนแพง หรือไม่ได้ใส่อาภรณ์สุดหรู (แต่ก็เห็นมีบางคนที่แต่งตัวดี ก็ยังนอนรอที่สนามบินเช่นกัน) ที่สำคัญผมไม่ได้มีแนวคิดแบบศักดินาหรือแบบ “เสี่ย” ที่ต้องมีเปลือกนอกหรือฟอร์มอะไรมากมาย
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสมมติผมเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตามวัยอย่างผม พอไปประชุมต่างประเทศ ผมก็ได้นั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ นอนโรงแรมอย่างดี แถมยังอาจมีค่าใช้จ่ายให้อีกต่างหาก ผมไม่ได้อิจฉาพวกข้าราชการนะครับ แต่ผมมักแสดงความเห็นในกรณีนี้ว่า พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ควรนั่งเครื่องชั้นประหยัดเช่นประชาชนทั่วไป ท่านใดอยากนั่งชั้นธุรกิจ ก็จ่ายส่วนต่างเอง ถ้าพวกเขาบินนาน-ไกล ก็อาจอนุญาตให้ไปล่วงหน้าสักวัน ข้าราชการใหญ่ๆ ควรยิ่งต้องรับใช้ประชาชน ไม่ใช่ขี่คอชาวบ้าน เป็นเจ้าคนนายคน
สุดท้ายนี้ ที่ผมนำเรื่องนี้ (ซึ่งผมได้ทำมาหลายครั้งแล้ว) มาเล่าให้ฟังสนุกๆ โดยไม่อายนั้น ผมก็เพียงหวังบำเพ็ญเพียร ไม่ยึดติดอัตตา ทดสอบสภาพร่างกายว่ายังไม่แก่เกินไป รวมทั้งแสดงความธรรมดา และความพอเพียง (ที่ไม่ใช่แบบจอมปลอม) นั่นเอง ขอทุกท่านมีสุขสวัสดิ์ครับ