รัฐบาลบอกว่าจะดึงคนรวยๆ 1 ล้านคนมาอยู่ในประเทศไทย กรณีนี้ไม่มีความเป็นไปได้เลย ใครเขาจะมาอยู่ มาพิสูจน์ความจริงกัน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่า การดึงต่างชาติมั่งคั่ง 1 ล้านคนนี้หวังที่จะเพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ 1-2.5 แสนล้านบาท บนสมมติฐานการใช้จ่ายในประเทศเฉลี่ย 1 ล้านบาท/คน/ปี เพิ่มปริมาณเงินลงทุนในระบบเศรษฐกิจ 7.5 หมื่นล้านบาท/1.87 แสนล้านบาท ประเมินจากเงินลงทุนชาวต่างชาติมั่งคั่ง 1 หมื่นคน และชาวต่างชาติวัยเกษียณ 8 หมื่นคน เพิ่มรายได้ทางภาษี 2.5-6.25 หมื่นล้านบาท ประเมินจากผู้ถือวีซ่าในกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ จำนวน 4 แสนคน ทั้งนี้อายุมาตรการพิเศษที่กำหนดไว้ 5 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มบังคับใช้มาตรการ โดยสามารถขยายเวลาได้ตามความเหมาะสม (คาดว่าถ้าไม่สำเร็จ ก็อาจใช้ไปตลอดเลยก็ได้)
สิ่งที่ต้องถกกันก็คือมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะย้ายพลเมืองโลกที่มั่งคั่งมาอยู่ในไทยได้ถึง 1 ล้านคน มาดูอย่างกรณีโครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รัฐบาลมาเลเซียส่งเสริมให้มาเลเซียเป็นสถานที่ใช้ชีวิตอยู่สำหรับชาวต่างประเทศ โครงการ MM2H ให้วีซ่าหลายรายการทดแทนสำหรับผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จจากทั่วโลก เป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของประเทศมาเลเซียและดำเนินการมานานแล้ว
จากข้อมูลพบว่าในช่วงปี 2545 – 2562 หรือเป็นระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าต่างชาติมาซื้อบ้านและใช้สอยรวมเป็นมูลค่าประมาณ 11.89 พันล้านริงกิต หรือ 96,000 ล้านบาท ถ้าคิดเป็นค่าซื้อบ้านสักครึ่งหนึ่ง และหน่วยที่อยู่อาศัยหน่วยหนึ่งมีราคา 10 ล้านบาท ก็มีคนซื้อเพียง 4,800 หน่วยเท่านั้น หรือหากเฉลี่ยก็เป็นจำนวนเพียงปีละ 282 หลัง การที่ไทยจะหวังว่าภายในเวลา 5 ปีจะสามารถเชิญคนต่างชาติมาอยู่ในไทยได้ถึง 1 ล้านคน ซื้อบ้านสัก 500,000 หลัง จึงเป็นสิ่งที่ (แทบ) เป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าไทยน่าจะมีศักยภาพในการดึงดูดชาวต่างชาติได้ดีกว่ามาเลเซียเพราะมีขนาดใหญ่กว่า หลากหลายกว่า แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่มากมายเช่นกัน
มาดูประจักษ์หลักฐานอีกกรณีหนึ่งคือที่สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ดึงดูดคนต่างชาติไปซื้อบ้านมากที่สุด ปรากฏว่าทางสมาคมนายหน้าแห่งชาติอเมริกัน (National Association of Realtors) ระบุว่าในรอบ 1 ปีล่าสุด (เมษายน 2563-มีนาคม 2564) มีการซื้อขายบ้านโดยชาวต่างประเทศถึง 54.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเป็นเงินไทยที่ 1.686 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับ (2.8% ของ 1.96 ล้านล้านเหรียญสหรัฐของยอดขายบ้านที่มีอยู่ทั่วประเทศ) นี่แสดงว่าชาวต่างประเทศไม่ได้มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเลย จำนวนผู้ซื้อบ้านในช่วงดังกล่าวมี 107,000 หน่วย หรือ 1.8% ของยอดขายบ้านที่มีอยู่ 5.79 ล้านหน่วย ซึ่งก็ถือว่าไม่มาก
อาจกล่าวได้ว่า 58% ของผู้ซื้อต่างชาติเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาน้อยกว่าสองปี ณ เวลาที่ทำธุรกรรม หรือคือผู้ถือวีซ่าประเภท Non-immigrant (ประเภท B) ทั้งนี้ผู้ซื้อต่างประเทศ 5 อันดับแรกได้แก่ แคนาดา (8% ของผู้ซื้อต่างประเทศ, $4.2 พันล้านเหรียญ) เม็กซิโก (7% ของผู้ซื้อต่างประเทศ, $2.9 พันล้านเหรียญ) จีน (6% ของผู้ซื้อต่างประเทศ, $4.5 พันล้านเหรียญ) อินเดีย (4% ของผู้ซื้อต่างประเทศ, $3.1 พันล้านเหรียญ) และสหราชอาณาจักร (4% ของผู้ซื้อต่างประเทศ, $2.3 พันล้านเหรียญ)
ขนาดว่าสหรัฐอเมริกายังมีผู้ไปซื้อบ้าน 107,000 หน่วยในเวลา 1 ปี ประเทศไทยจะ “ฝันหวาน” ว่าจะมีผู้ซื้อบ้านสักครึ่งล้านหน่วยใน 5 ปี หรือปีละ 100,000 หน่วย คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ในแต่ละปี ปริมาณการซื้อขายบ้านในประเทศไทยคงมีเพียงไม่เกิน 300,000 หน่วยเท่านั้น มีต่างชาติมาซื้อเพียงหนึ่งหมื่นหลัง ประเทศไทยก็ไม่มีแรงดึงดูดใดๆ ที่จะไปเทียบกับสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียได้ ตัวเลขที่ทางการอ้างมาจึงเป็นไปไม่ได้เลย
ท่านทราบหรือไม่ ฝรั่งที่มีฐานะดีจะไม่มาอยู่ประเทศไทยเป็นการถาวร นอกจากจะมาอยู่ชั่วคราวเพื่อหนีความหนาวเท่านั้น ส่วนใหญ่ฝรั่งที่มาอยู่ไทยถาวรนั้น มักเป็นพวกที่หนีความกดดันในประเทศของตนเองและพวกที่มาเกษียณอายุ ไม่ใช่เพราะรวย แต่เพราะเงินบำนาญไม่พอใช้ในประเทศตนเอง พวกนี้เรียกว่า Pension Refugees มาอยู่ไทยเพราะค่าครองชีพที่ไทยถูกว่า การที่จะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยคงน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลยเพราะเงินไม่พอ เอาเงินเก็บไว้ใช้จ่ายดีกว่า เช่าเอาถูกกว่าซื้อ มีผู้บอกว่า “ฝรั่งที่ปากบอกว่ารักประเทศไทยนั้น เขาไม่ได้รักประเทศไทยเช่นที่เราเข้าใจหรอก แต่รักความสะดวกสบายที่เขาสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าบ้านเขาต่างหาก อย่าหลงประเด็นเวลาที่เขาบอกว่ารักเมืองไทย”
ประเทศไทยมีแรงงานฝีมือและผู้ชำนาญการชาวต่างประเทศมาพำนักและทำงานเพียง 112,834 คน สมมติมีอัตราเพิ่มตามปกติ 5% ต่อปี ใน 5 ปี ก็เพิ่มขึ้นอีกเพียง 31,174 คน รัฐจะเพิ่มให้เป็น 1 ล้านคน แม้รวมคนเกษียณอายุ ฯลฯ ก็คงเป็นไปไม่ได้เลย เป็นตัวเลขยกขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีที่มาที่ไป การจะหวังเพิ่มคนมีฝีมือมากมายในกรณีนี้จึงเท่ากับเป็นการ “ฝันหวานไป” เท่านั้น
อย่าละเมอเพื่อขายชาติ ขายแผ่นดินเลย ขอร้อง!