ตอนนี้มีโฆษณาชวนเชื่อบอกว่าถ้าใครซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ปี 2561 ป่านนี้รวยเละไปแล้ว รีบซื้อด่วนเถอะ นี่เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน มีแต่คนโลภมากที่จะโดนหลอก เรามาพิสูจน์ความจริงกัน
เรามาพิสูจน์กัน
1. ราคาบิตคอยน์ ณ วันที่ 5 มกราคม 2561 เป็นเงิน 549,629.93 บาท ราคาในวันล่าสุด (7 มกราคม 2565) เป็นเงิน 1,396,240.45 บาท แสดงว่าราคาเพิ่มขึ้นเป็น 254% กำไรเห็นๆ หรือเท่ากับกำไรปีละประมาณ 36% ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ กำไร “น้องๆ” ของกำไรจากดอกเบี้ยนอกระบบเลย จะได้จะได้กำไรมากขนาดนี้ ถ้าไม่ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เช่น พวกคนมีสีหรือเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบแบบนั้น
2. อย่างไรก็ตามคนที่ซื้อบิตคอยน์ ณ วันที่ 5 มกราคม 2561 เป็นเงิน 549,629.93 บาท และมาถึง 11 ธันวาคม 2563 หรือเป็นเวลาเกือบ 3 ปี ราคาก็เท่ากับ 565,661.8 บาท แสดงว่าราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย แถมในระหว่างช่วง 3 ปีดังกล่าว ราคาต่ำกว่าราคาตอนซื้อเป็นไหนๆ และที่สำคัญราคาต่ำกว่าตอนซื้อมาโดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (5 มกราคม 2561 – 11 ธันวาคม 2563) ใครที่ยังใจแข็งถือส่งเดชไว้ ก็คงไม่เป็นไร แต่คนส่วนมากที่สุด ก็คงทนไม่ไหว ขายออกไปตั้งแต่ซื้อมาได้ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปีไปแล้ว แสดงว่าขาดทุนป่นปี้เป็นอันมาก เรื่องแบบนี้คนโฆษณาชวนเชื่อไม่เอ่ยถึงสักคำ
3. ถ้าใครซื้อบิตคอยน์ ณ วันที่ 1 มกราคม 2564 ที่ 796,112.27 บาท ถือมาถึงวันนี้ (7 มกราคม 2565) ราคา 1,396,240.45 บาท ก็เท่ากับได้กำไรเกือบ 100% ภายในเวลา 1 ปี แสดงว่ากำไรอย่างกับพวกแชร์ลูกโซ่ หรือการหลอกลวงเก็งกำไรอื่นๆ ที่มีพวกมิจฉาชีพอยู่เบื้องหลังนั่นเอง จะเห็นได้ว่าในรอบ 1 ปีล่าสุดแม้ดูว่าราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 100% แต่ในแต่ละห้วงเวลา มีความผันผวนแปรปรวนสูงมาก ไม่มีความแน่นอนใด ขึ้นอยู่กับข่าวลือ ลูกแก้วหรือลางสังหรณ์ และมือที่มองไม่เห็นของพวกมิจฉาชีพ การลงทุนในบรรยากาศแบบนี้ สมควรหรือไม่ นี่คือการลงทุนหรือการพนันกันแน่
4. ยิ่งเมื่อมาพิจารณาในรอบ 2 เดือนล่าสุด ณ 8 พฤศจิกายน 2564 ราคาอยู่ที่ 2,225,495.02 บาท แต่ ณ ล่าสุด (7 มกราคม 2565) ราคาอยู่ที่ 1,396,240.45 บาท เท่ากับว่าราคาหดเหลือ 63% หายไป 37% หรือมากกว่าหนึ่งในสาม นี่สมควรแก่การลงทุนหรือไม่ แต่ความจริงส่วนนี้ ไม่มีใครพูดถึงเลย
บิตคอยน์ไม่ได้มีมูลค่าในตัวมันเอง
1. การประเมินค่าทรัพย์สินจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีตลาด การซื้อขายบิตคอยน์ก็มีตลาดมาระยะหนึ่ง รวมเป็นเวลาประมาณ 7 ปี แต่ตลาดนี้ก็ไม่ได้มีการควบคุมใดๆ ทำให้ขาดความมั่นคง โปร่งใสเท่าที่ควร คล้ายกับตลาดพระเครื่อง ตลาดจตุคามรามเทพ ซึ่งก็มีผู้ซื้ออยู่จำนวนหนึ่ง แต่ตลาดพระเครื่องก็ยังมีการซื้อขายกันมายาวนาน ทั้งนี้ยกเว้นราคาที่ผิดเพี้ยน (Outliers) ซึ่งเกิดจากการปั่นราคาและการฟอกเงิน
2. คุณลักษณะสำคัญของเงินที่แท้ก็คือการสามารถเก็บมูลค่าได้ (Store of Value) แต่ในกรณีบิตคอยน์ไม่มีพื้นานที่แท้จริงอยู่ ต่างจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่แม้หลายคนมองว่าเป็นเกมการพนัน แต่ก็ยังมีปัจจัยพื้นฐานให้วิเคราะห์หุ้นได้ในระดับหนึ่ง มีกิจการที่แท้จริงดำเนินการโดยบริษัทมหาชนนั้นๆ ไม่ใช่การซื้อขายเงินกันลอยๆ เท่านั้น
3. บิตคอยน์มีจำนวนที่จำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งในแง่หนึ่งก็เข้าข่ายของความหายาก (Rare) และขาดแคลน (Scarcity) ดังนั้นหากนำมาเทียบกับทองคำ หรือน้ำมันดิบ ก็สามารถบอกได้ว่าหายากและมีจำนวนจำกัด แต่ก็ไม่ได้จำกัดขนาดบิตคอยน์ ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงก็อาจไม่มียกเว้นการซื้อขายเก็งกำไรกันไป
4. ในการแลกเปลี่ยนเงินในกรณีบิตคอยน์ หากไม่ใช่เป็นผู้ที่พอมีความรอบรู้ในด้านคอมพิวเตอร์ ก็คงไม่สามารถที่จะซื้อขายได้ ประชาชนทั่วไปก็คงไม่สามารถเข้าถึง
5. เมื่อนำมาเทียบกับเพชรนิลจินดา บิตคอยน์ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้เพื่อแสดงความมั่งคั่งได้
6. หากนำมาเทียบกับทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) เช่น ชื่อเสียงกิจการ หรือแบรนด์ จะพบว่าแบรนด์สามารถนำมาสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้ เช่น สินค้าที่มีแบรนด์เนม ก็มีราคาสูงกว่า เป็นต้น
พวกมิจฉาชีพและเหล่าลูกสมุนวางมือและไปหากินทางสุจริตดีกว่า อย่าพาประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ลงเหวเลยดีกว่า จตุคามรามเทพก็เจ๊งไปแล้ว ไม้ด่างก็กำลังกุมขมับ อย่าอาศัยเงื่อนไขที่ดอกเบี้ยถูก จูงใจให้คนเจ๊งด้วยบิตคอยน์อีกทางหนึ่งเลย