หลายท่านเป็นห่วงว่าการไม่ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% จะกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์และประชาชนหรือไม่ ข้อนี้ ดร.โสภณฟังธงว่าอย่างได้ห่วง ไม่มีปัญหาใดๆ เลย อย่ากลัวภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเลย
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ผู้ซึ่งพาภาครัฐไปดูงานการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในแคนาดา นิวซีแลนด์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ กล่าวว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่สิ่งน่ากลัว และไม่ได้เป็นภาระแก่นักพัฒนาที่ดินใดๆ เลย
อย่างกรณีที่ดินเปล่าไมได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินว่างเปล่าติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี จะถูกเรียกเก็บภาษีในปีที่ 4 เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม 0.30% และเพิ่มขึ้นอีก 0.30% ทุกๆ 3 ปี หากยังไม่มีการใช้ประโยชน์ โดยอัตราภาษีสูงสุดไม่เกิน 3% ดังนี้:
มูลค่าที่ดิน อัตราภาษี เสียภาษีล้านละ
0-50 ล้านบาท 0.3% 3,000 บาท
>50-200 ล้านบาท 0.4% 4,000 บาท
200-1,000 ล้านบาท 0.5% 5,000 บาท
1,000-5,000 ล้านบาท 0.6% 6,000 บาท
5,001 ล้านบาทขึ้นไป 0.7% 7,000 บาท
แต่ทั้งหมดข้างต้น เสียตามราคาประเมินราชการ (ราคาประเมินเพื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม) โดยเฉพาะในกรณีที่ดินเปล่า มักจะมีราคาประเมินราชการประมาณ 50% ของมูลค่าตลาด หรือหลายกรณีอาจจะต่ำกว่านั้นเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีราคาที่ดินแถวสยามสแควร์ ชิดลม เพลินจิต ราคาตลาดตกเป็นเงินถึง 3.3 ล้านบาทต่อตารางวาซึ่งประเมินโดยศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) แต่ราคาประเมินราชการมีค่าเพียง 1 ล้านบาทต่อตารางวา ทั้งที่ราคาตลาดสูงถึง 1 ล้านบาทต่อตารางวามาตั้งแต่ปี 2552 แล้ว แต่ราคาที่ดินเปล่าตามราคาราชการแทบไม่เคยขยับ
หากสมมติว่าราคาประเมินราชการเท่ากับ 50% ของราคาตลาด ก็เท่ากับว่า ใน 50 ล้านบาทแรก เสียภาษีเพียง 0.15% หรือ ล้านละ 1,500 บาท ถ้ามีที่ดิน 3 ไร่ ๆ ละ 1 ล้านบาท รวม 3 ล้านบาท (เท่ากับราคาบ้านเฉลี่ยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ก็เสียภาษี 4,500 บาท หรือ ตกเป็นเงินเพียง 375 บาทต่อเดือน พอๆ กับค่าจัดเก็บขยะในชุมชนเท่านั้น ยิ่งในกรณีปัจจุบันที่รัฐบาลให้เสียภาษีเพียง 10% หรือลดภาษีไป 90% ก็เท่ากับว่าต้องเสียภาษีเพียง 37.5 บาท ต่อเดือน สำหรับที่ดินเปล่าที่มูลค่าตลาด 3 ล้านบาท หรือมีราคาประเมินราชการที่ 1.5 ล้านบาท เป็นต้น กรณีนี้ควรคิดว่านี่เป็นการเอาเปรียบสังคมประการหนึ่ง
หากมองในมุมกลับ ถ้าเรามีจักรยานยนต์เก่าๆ อยู่คันหนึ่งที่มีราคาขายในราคา 50,000 บาท ก็ต้องเสียภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมประมาณ 500 บาท หรือประมาณ 1% เข้าไปแล้ว ดังนั้นการที่เรามีที่ดินสักผืนหนึ่งแล้วปล่อยทิ้งไว้ และเสียภาษีเพียง 0.3% ของราคาประเมินราชการ ซึ่งมักต่ำกว่าราคาตลาดครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น ก็เท่ากับว่าเราเสียภาษีน้อยมาก อันที่จริงตอนศึกษาในต่างประเทศ เขาเก็บภาษีถึง 3% ไม่ใช่ค่อยๆ ขึ้นอย่างในกรณีประเทศไทย
อย่างในกรณีที่ดินของคุณพ่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถนนบางบอน 3 ในราคา 600 ล้านบาท ในปัจจุบันน่าจะเป็นเงิน 800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในระหว่างปี 2557-2565 (8 ปี) เฉลี่ยปีละ 3.7% ถ้าต้องเสียภาษีแค่ 0.3%-0.5% ต่อปีตามราคาราชการก็นับว่าถูกมาก ถ้าสมมติให้ราคาประเมินราชการสำหรับที่ดินแปลงนี้เป็นเงิน 200 ล้านบาท
1. หากที่ดินแปลงนี้เป็นที่ว่างเปล่า 50 ล้านแรก จะเก็บ 0.3% และ 51-200 ล้านบาท จะเก็บ 0.4% ก็จะเป็นเงินปีละ 750,000 บาทเท่านั้น
2. แต่การ “แสร้ง” ทำเป็นที่ดินเกษตรที่มีรายได้สุดต่ำและไม่คุ้ม ก็จะเสียภาษีในอัตรา 0.01% สำหรับที่ดินราคา 75 ล้านบาทแรก 0.03% สำหรับที่ดิน 25 ล้านบาทล้านบาทถัดมา และอีก 0.05% สำหรับที่ดิน 100 ล้านบาทถัดมา หรือรวมแล้วเสียภาษีเพียง 65,000 บาท ทั้งนี้ในกรณีบริษัท แต่ถ้าในกรณีบุคคลธรรมดา ไม่ต้องเสียภาษีในช่วง 3 ปีแรกอีกต่างหาก
3. แถมในพระราชกฤษฎีกาลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2564 ณ 30 มกราคม 2564 ระบุว่าให้ลดภาษีสำหรับที่ดินเกษตรกรรมและอื่นๆ ลงอีก 90% เหลือ 10% ก็แสดงว่าที่ดินมูลค่า 800 ล้านบาทแปลงนี้จะเสียภาษีเพียง 6,500 บาทต่อปีเท่านั้น การเสียภาษีน้อยอย่างนี้เป็นธรรมต่อสังคมหรือไม่ เอาเปรียบประเทศชาติหรือไม่
4. ถ้าคิดแบบในต่างประเทศที่ต้องเสียภาษี 3% ของราคาตลาด ที่ดินแปลงนี้ราคา 800 ล้านบาท ต้องเสียภาษีถึง 24 ล้านบาทต่อปี แต่ในเมื่อราคาที่ดินเพิ่มขึ้นปีละ 3.7% ก็เท่ากับว่าเราไม่ต้องเสียภาษีที่ดินเลย
การแสร้งทำเป็นเกษตรกรรม เช่น ปลูกพืช หรือเลี้ยงสัตว์ เป็นการเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน เราไม่ควรมีการเก็บภาษีตามประเภทการใช้สอย แต่ควรเก็บภาษีตามราคาตลาดต่างหาก
ถ้ารักชาติจริง ทุกคนต้องเสียภาษีเพื่อชาติ