การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เศรษฐกิจไทยอาจไม่ดี แต่ราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพบว่าราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้จะไม่เท่ารถไฟฟ้าสายอื่นๆ แต่ก็นับว่าปรับตัวได้มากพอสมควร เป็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ
ตามข้อมูลใน Wikipedia โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนได้รับการกำหนดให้ใช้ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบวิ่งคร่อมคานทางวิ่ง (straddle-beam monorail) เป็นระบบหลัก โดยมีสถานีต้นทางที่บริเวณแยกแคราย และสิ้นสุดที่แยกรามคำแหง-ร่มเกล้า ย่านมีนบุรี ระยะทางรวมประมาณ 34–36 กิโลเมตร ตัวรถเป็นรถปรับอากาศขนาดกว้าง 3.147 เมตร ยาว 11.8-13.2 เมตร สูงประมาณ 4.06 เมตร ความจุ 356 คนต่อตู้ มีทั้งหมด 42 ขบวน 168 ตู้ (ต่อพ่วงแบบ 4 ตู้ต่อขบวน) ขับเคลื่อนจากจุดจอดแต่ละสถานีได้เองโดยไม่ต้องใช้คนควบคุมหรือสั่งการ รองรับผู้โดยสารได้ 15,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทางในช่วงแรก ในอนาคตสามารถเพิ่มจำนวนขบวนเป็น 7 ตู้ต่อขบวน เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 28,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง
ชานชาลาด้านข้างผสมเกาะกลาง ความสูง 3 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเปลี่ยนสายระหว่างสายหลักและสายรอง มีทั้งหมด 1 สถานี ได้แก่ สถานีศรีรัช ชานชาลาด้านข้าง แบบแยกอาคาร ความสูง 2 ชั้น เป็นรูปแบบสถานีและชานชาลาที่ลดความสูงเพื่อหลบหลีกรางรถไฟฟ้า และสิ่งกีดขวาง มีทั้งหมด 1 สถานี ได้แก่ สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ตัวสถานีออกแบบให้มีประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูง (Half-height) ทุกสถานี หลบเลี่ยงสาธารณูปโภคทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงออกแบบให้รักษาสภาพผิวจราจรบนถนนให้ได้มากที่สุด และมีเสายึดสถานีอยู่บริเวณเกาะกลางถนน และบริเวณพื้นที่ว่างในบางสถานี
สำหรับราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูนี้ตามผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เป็นดังนี้:
ลำดับ รหัส ชื่อสถานี ราคาที่ดิน บ/ตรว. อัตราเพิ่ม
1 PK01 ศูนย์ราชการนนทบุรี 290,000 6.9%
2 PK02 แคราย 240,000 8.3%
3 PK03 สนามบินน้ำ 240,000 8.3%
4 PK04 สามัคคี 240,000 8.3%
5 PK05 กรมชลประทาน 230,000 4.3%
6 PK06 ปากเกร็ด 250,000 4.0%
7 PK07 เลี่ยงเมืองปากเกร็ด 250,000 4.0%
8 PK08 แจ้งวัฒนะปากเกร็ด 28 270,000 7.4%
9 PK09 เมืองทองธานี 290,000 13.8%
10 PK10 ศรีรัช 290,000 13.8%
11 PK11 เมืองทอง 1 290,000 13.8%
12 PK12 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ์ 290,000 13.8%
13 PK13 ที โอ ที 290,000 13.8%
14 PK14 หลักสี่ 320,000 15.0%
15 PK15 ราชภัฎพระนคร 300,000 16.7%
16 PK16 วงเวียนหลักสี่ 320,000 12.5%
17 PK17 รามอินทรา 3 260,000 11.5%
18 PK18 ลาดปลาเค้า 260,000 11.5%
19 PK19 รามอินทรา 31 260,000 11.5%
20 PK20 มัยลาภ 260,000 11.5%
21 PK21 วัชรพล 260,000 11.5%
22 PK22 รามอินทรา 40 260,000 11.5%
23 PK23 คู้บอน 270,000 15.0%
24 PK24 รามอินทรา 83 200,000 15.0%
25 PK25 วงแหวนตะวันออก 210,000 14.3%
26 PK26 นพรัตนราชธานี 180,000 15.0%
27 PK27 บางชัน 180,000 16.7%
28 PK28 เศรษฐบุตรบำเพ็ญ 180,000 15.0%
29 PK29 ตลาดมีนบุรี 220,000 18.2%
30 PK30 มีนบุรี 200,000 10.0%
เฉลี่ยโดยรวม 11.7%
จะสังเกตได้ว่าราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูนี้มีราคาเพิ่มขึ้น 11.7% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ 4.7% แสดงว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายนี้สร้างศักยภาพขึ้นใหม่ให้กับราคาที่ดินในบริเวณนี้ ดร.โสภณตั้งข้อสังเกตว่าถ้าหากมีระบบการจัดเก็บภาษีตามการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินในบริเวณนี้ เพื่อชดเชยการสร้างรถไฟฟ้า ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้สมมติว่า ในระยะเวลา 4 ปีก่อนและหลังการสร้างรถไฟฟ้า หากทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 50% ตามแนวรถไฟฟ้าระยะทาง 32 กิโลเมตร ลึก 500 เมตร สองข้างทางก็จะทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก จัดเก็บภาษีมาพัฒนาท้องถิ่นได้อีกมาก
ในรายละเอียด มีข้อสังเกตเกี่ยวกับราคาที่ดินตามสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูดังนี้:
1. ที่ดินบริเวณโดยรอบสถานีที่ 1 ที่ศูนย์ราชการนนทบุรี มีราคาสูงเป็นพิเศษที่ 290,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้เพราะเป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ก่อให้เกิดการพัฒนาตามทางเชื่อมต่อ (Transit Oriented Development หรือ TOD)
2. ราคาที่ดินช่วงต่อจากนั้นจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่ได้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากนัก ส่วนใหญ่เป็นย่านที่อยู่อาศัย
3. ราคาที่ดินจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงสถานีที่ 9 เมืองทองธานีถึงสถานีที่ 14 หลักสี่ เพราะมีส่วนราชการและกิจกรรมในเชิงพาณิชย์หนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณสถานีหลักสี่ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดง น่าจะทำให้เกิดศักยภาพเพิ่มขึ้น และทำให้ศูนย์การค้าหลักสี่พลาซ่าฟื้นตัวกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่รถยนต์ผ่านข้ามหัวไปหมดเพราะใช้ทางด่วนหรือทางยากระดับ
4. ในช่วงสถานีที่ 15 ราชภัฏพระนคร และสถานีที่ 16 วงเวียนหลักสี่ น่าจะมีการเพิ่มขึ้นของราคาสูงเป็นพิเศษเนื่องจากการเป็นพื้นที่ TOD เพราะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั่นเอง ในการนี้ราคาที่ดินตกเป็นเงินตารางวาละ 300,000 – 320,000 บาทต่อตารางวา
5. หลังจากนั้นราคาที่ดินก็จะขึ้นแบบไม่สูงมากนัก จนถึงสถานีที่ 23 คู้บอน ราคาที่ดินจะเป็นเงินตารางวาละ 270,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 15.0% รวมทั้งสถานีที่ 24 รามอินทรา 83 ราคาตารางวาละ 200,000 เพิ่มขึ้น 15.0% เช่นกัน
6. หลังจากนั้นราคาที่ดินก็จะเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง เพราะผ่านย่านการค้า และในพื้นที่ที่มีการพัฒนาที่ค่อนข้างเข้มข้น จนถึงสถานีที่ 29 ตลาดมีนบุรี ราคาที่ดินจะเพิ่มเป็น 220,000 บาทต่อตารางวา หรือเพิ่มขึ้นถึง 18.2% ซึ่งนับเป็นการเพิ่มที่สูงมาก เนื่องจากเป็นศูนย์ธุรกิจในพื้นที่นี้ และจะมีการเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มต่อไป
แม้ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นมากในบริเวณรถไฟฟ้าสายสีชมพูนี้ แต่ในความเป็นจริง รถไฟฟ้าสายนี้อาจไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก ควรสร้างรถไฟฟ้าเข้าเมืองมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามทางราชการกลับเร่งรัดสร้างรถไฟฟ้าสายนี้ก่อน เพราะแทบไม่ต้องเวนคืนที่ดินเนื่องจากสร้างบนทางหลวงเป็นหลัก ทางเลือกที่ควรสร้างควรเป็นเพียงการสร้างโมโนเรลจากศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะให้เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง รวมทั้งการขยายทางด่วนโทลเวย์เข้าไปในศูนย์ราชการฯ มากกว่าที่จะสร้างรถไฟฟ้าสายนี้
มีความเป็นไปได้ที่รถไฟฟ้าสายนี้จะมีคนใช้บริการไม่มาก เช่นเดียวกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง อีกทั้งยังมีบริการรถตู้และรถประจำทางอยู่แล้ว รวมทั้งความจำเป็นในการเดินทางตามแนวรถไฟฟ้าสายนี้อาจน้อย ดังนั้นราคาที่ดินที่เคยขึ้นสูงมากในขณะนี้ ในอนาคตอาจจะหยุดนิ่ง หรือมีความเคลื่อนไหวน้อยลง ผู้ที่ลงทุนซื้อที่ดินไว้ อาจไม่ได้กำไรตามที่คาดหวัง โดยเฉพาะผู้ที่ซื้อห้องชุดเพื่อการเก็งกำไรตามแนวรถไฟฟ้าสายนี้ อาจได้รับมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่มาก หรือปล่อยเช่าไม่ได้ราคาเท่าที่ควร
ก่อนลงทุนซื้อห้องชุดหรือที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายนี้ ควรดูให้ดีก่อน ถ้าราคายังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ควรลงทุน ถ้าที่มีผู้ซื้อไปแล้ว ราคาไม่ขึ้น ก็ไม่ควรลงทุน