ดร.โสภณ เคยเสนอทวงคืนสนามหลวงจากกรุงเทพมหานครมาให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนพร้อมทั้งนำมาทำเป็นไนท์บาซาร์ ทั้งนี้จากนโยบายการหาเสียงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปี 2556 (ดร.โสภณสมัครผู้ว่าฯ ในครั้งนั้นเพื่อหวังขายไอเดียการพัฒนาเมือง)
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ในสมัยผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 ได้เคยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 44 เรื่อง “เล่นว่าว ทวงคืนสนามหลวงเพื่อสังคม” เมื่อวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 (https://bit.ly/3wIrcKP) โดยมีรายละเอียดดังนี้:
แถลงการณ์ 44: เล่นว่าว ทวงคืนสนามหลวงเพื่อสังคม
พุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556
ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 https://bit.ly/3wIrcKP
สนามหลวงแต่เดิมให้ใช้เป็นที่พักผ่อนของประชาชน ปัจจุบันนี้ตกอยู่ในสภาพ “เห็นแต่ตา มืออย่าต้อง” ควรคืนให้ประชาชน และใช้เป็นที่ชุมนุมทางการเมือง จะได้ไม่เกิดการชุมนุมในย่านอื่น และควรใช้เพื่อเป็นไนท์บาซาร์ที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก
ในปัจจุบัน กทม. ให้ใช้สนามหลวงเฉพาะงานราชพิธี รัฐพิธี งานประเพณีสำคัญของชาติโดยหน่วยงานของรัฐ และการจัดการแข่งขันกีฬาไทยประจำปี แต่ห้ามมีกิจกรรมทางการเมือง และการใช้ต้องยื่นคำขออนุญาตล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน และต้องวางหลักประกันเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย 500,000 - 1,000,000 บาท การนี้เท่ากับเป็นการ “ริบ” พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนกรุงเทพฯ ไป การปลูกหญ้าผืนใหญ่เขียวขจีเสมือนพรม แต่ไม่ยอมให้ใช้ประโยชน์เพื่อการพักผ่อนเท่าที่ควร เป็นสิ่งที่พึงทบทวนใหม่เป็นอย่างยิ่ง
คนกรุงเทพฯ ในสมัยก่อนขี่จักรยานเป็นก็เพราะมีสนามหลวง ใครใคร่มาเล่นว่าว หรือนั่งเล่นตามพื้นที่ต่างๆ ก็ย่อมทำได้ แต่ทุกวันนี้มีข้อจำกัดมาก กทม. สามารถให้คงพื้นที่สนามหลวงเป็นของประชาชน เพียงแต่ต้องจัดระเบียบให้ดี เช่น การเช่าพื้นที่ค้าขายอาหาร เครื่องดื่ม เช่าจักรยาน โดยทำให้เกิดความโปร่งใส นำเงินเข้าหลวงเพื่อพัฒนาสนามหลวงให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น
ที่สำคัญ ควรใช้พื้นที่สนามหลวงเป็นที่ชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่ไปชุมนุมในที่อื่นที่ไม่เหมาะสม หากสนามหลวงได้รับการใช้เพื่อการนี้ ก็จะเป็นการจัดระเบียบการชุมนุมที่ดีในเขตกรุงเทพมหานคร ไม่กีดขวางการจราจร ไม่บุกรุกสถานที่ราชการ สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ
ยิ่งกว่านั้นการท่องเที่ยวในเกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านประวัติศาสตร์ของชาติไทยนั้นมีข้อจำกัดในการเที่ยวในเวลากลางวันเพราะอากาศที่ร้อนมาก ผมจึงเสนอแปลงพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ให้เป็นไนท์บาซาร์หรือตลาดท่องเที่ยวกลางคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยเริ่มต้นให้ใช้พื้นที่บริเวณสนามหลวง และรอบกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีพื้นที่รวมกันประมาณประมาณ 60,000 ตารางเมตร หากนำพื้นที่ 50% มาใช้เพื่อกิจกรรมสันทนาการและไนท์บาซาร์ ก็จะกินพื้นที่ประมาณ 30,000 ตารางเมตร
กรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของพื้นที่สามารถจัดกิจกรรมตลาดได้ทุกวัน นำรายได้เข้ามาบำรุงเกาะรัตนโกสินทร์ได้เพิ่มเติม กิจกรรมไนท์บาซาร์นี้ควรเปิดบริการในระหว่างเวลา 18:00 - 24:00 น. และควรมีกิจกรรมเสริมเช่น การล่องเรือรอบคลองหลอด ลานการแสดงออกสำหรับคนหนุ่มสาวและศิลปิน เป็นต้น และในอนาคตยังสามารถขยายไปยังถนนมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ และอื่น ๆ ในเกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งถนนราชดำเนินในและถนนราชดำเนินกลาง จนกลายเป็นตลาดไนท์บาซาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประโยชน์จากการนี้เปิดตลาดไนท์บาซาร์ ณ เกาะรัตนโกสินทร์ ได้แก่
1. เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ให้ประชาชนได้ชื่นชมอาคารสถานที่สำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์ ทำให้ประชาชนเกิดความหวงแหนในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย
2. เป็นการเปิดโอกาสให้วัยรุ่น เยาวชน คนหนุ่มสาว ศิลปิน ได้มีพื้นที่แสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่ไนท์บาซาร์แห่งนี้ ซึ่งไม่ได้เน้นเพื่อการขายสินค้าแต่อย่างใด
3. เป็นการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีพื้นที่ทำการค้าในราคาที่ยุติธรรมพร้อมการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐาน
4. เป็นสถานที่ทางเลือกเพื่อการพักผ่อนที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนในยามค่ำคืน ซึ่งจะทำให้พื้นที่นี้มีชีวิตชีวา ปลอดจากมิจฉาชีพ โดยทั้งนี้จะมีการจัดวางกำลังรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี
5. เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สะอาด ปลอดมลพิษ มีคุณภาพ ให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์ในเชิงสากล โดยไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวประเภทการให้บริการทางเพศหรืออื่นใดที่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศชาติมัวหมอง
ทั้งนี้กรุงเทพมหานครควรจัดการจราจรทั้งทางบก ทางน้ำ และการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งจะเชื่อมต่อมายังเกาะรัตนโกสินทร์นี้ให้ดี เพื่อให้กลายเป็นเกาะที่ปลอดมลพิษโดยเฉพาะในยามค่ำคืน