บางท่านบอกว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแพงเหลือเกิน เสียไม่ไหว ตอนนี้ก็ไม่มีรายได้แล้ว เกษียณแล้ว จะทำอย่างไรดี ผมขอแนะนำให้ขายที่ดินนั้นเสีย . . . ใจร้ายไปไหม มาพิจารณาดู
มีท่านที่ผมเคารพท่านหนึ่งมาบ่นกับผมว่า ปีนี้เสียภาษีที่ดินไป 6,000 บาท (ยังไม่รวมค่าปรับที่ชำระล่าช้า) จากที่ดินที่ครอบครองอยู่จำนวน 187.5 ตารางวา รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาทตามราคาประเมินราคาราชการ หรือเท่ากับตารางาละ 16,000 บาท ท่านบอกว่าท่านก็เกษียณอายุราชการแล้ว ไม่มีรายได้อะไรแล้ว (คงจะใช้เงินบำเหน็จไปแล้ว) จะทำอย่างไรดี
เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจเหมือนกัน แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง เงิน 6,000 บาทที่เสียไปนี้ ก็เป็นเงินเพียงเดือนละ 500 บาทเท่านั้น พอๆ กับค่าเก็บขยะ และถูกกว่าค่าส่วนกลางในนิติบุคคลอาคารชุดเสียอีก ปกติถ้าห้องชุดที่มีราคา 3 ล้านบาท มักจะมีขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร เสียค่าส่วนกลางตารางเมตรละ 30 บาท ก็เป็นเงิน 1,500 บาทเข้าไปแล้ว ข้อนี้เราคนไทยก็ต้องคิดใหม่เหมือนกันว่า ถ้าเรามีทรัพย์ส่วนตัวอยู่ที่ไหน คนไทยก็ต้องมีหน้าที่เสียภาษีเช่นกัน จะปฏิเสธไม่เสียภาษีคงไม่ได้
แต่บางคนก็อาจคิดว่า รัฐเก็บภาษีไป ก็เอาไปโกงกินกัน อันที่จริงการโกงกินนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่พึงนำมาปะปนกันให้สับสนนะครับ ถ้ามีการโกงกินกันเกิดขึ้น เราก็ต้องจับทุจริต แต่ถ้าเราปฏิเสธไม่เสียภาษี แม้เราส่วนตัวจะได้ประโยชน์ แต่ท้องถิ่นจะเอาเงินที่ไหนมาพัฒนาให้ท้องถิ่นเจริญ ถ้าท้องถิ่นไม่เจริญ แล้วราคาบ้านและที่ดินของเราจะเพิ่มขึ้นได้หรือ
ถ้าดูอัตราการเสียภาษี ก็เป็นเงินประมาณ 0.2% ของราคาประเมินราชการ (ภาษี 6,000 บาท จากราคาประเมินราชการ 3,000,000 บาท) ถ้าราคาตลาดเป็น 2 เท่าของราคาประเมินราชการ ราคาตลาดก็อาจเป็นเงิน 6,000 บาท แสดงว่าปัจจุบันการเสียภาษีจริงเป็นเงินเพียง 0.1% ของราคาตลาดเท่านั้น แสดงว่าคนไทยยังเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างน้อยมาก อันที่จริงรัฐบาลควรเก็บเป็นเงินประมาณ 1% ของราคาตลาด ก็คือ ทรัพย์สินราคา 6,000,000 บาท ควรที่จะเก็บภาษีประมาณ 60,000 บาทต่อปี หรือเดือนละ 5,000 บาท
บางท่านอาจบอกว่าการเสียภาษีถึง 1% ต่อปีจากราคาตลาดนั้น อาจสูงไปหรือไม่ ข้อนี้คงไม่ใช่ เพราะในแต่ละปี ราคาตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 3-5% การเสียภาษีเพียง 1% ของราคาตลาดยังถือว่าน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาตลาดมากมายนัก ยิ่งมีการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาก ก็ยิ่งทำให้ราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอีก ทำให้การเสียภาษีไม่ได้เป็นโทษต่อเจ้าของที่ดินแต่ประการใด
อย่างไรก็ตามก็มีกรณีที่เป็นไปได้เช่นกันที่เจ้าของที่ดินไม่มีเงินที่จะเสียภาษีจริงๆ เช่น การเสียภาษีปีละ 6,000 บาท สำหรับที่ดินราคา 3,000,000 บาทตามราคาประเมินราชการ หรือ 6,000,000 บาทตามราคาตลาด บางท่าน แต่เจ้าของที่ดินไม่มีรายได้ใดๆ เลย ข้อนี้ผมมีข้อเสนอดังนี้:
1. ให้คนอื่นเช่าที่ดินนั้นไปเสีย เชื่อว่าค่าเช่าที่ดินคงไม่น้อยกว่า 1-2% ตามราคาตลาด คือ 60,000 – 120,000 บาทต่อปี จากที่ดินที่มีราคาประเมินราชการที่ 3,000,000 บาท หรือราคาตลาดที่ 6,000,000 บาท ดังนั้น เจ้าของที่ดินก็จะสามารถใช้ค่าเช่ามาเสียภาษีได้
2. ถ้าไม่ต้องการทำอะไรทั้งสิ้น ก็ขายที่ดินแปลงนั้นเสีย ก็จะได้เงินไปเป็นเงิน 6,000,000 บาทตามราคาตลาด อาจเสียภาษีบางส่วน อาจมีรายได้สุทธิประมาณ 5,000,000 บาท ก็สามารถนำไปลงทุนที่สร้างดอกผลต่างๆ ได้อีกมากมาย
ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่สามารถอ้างได้ว่า เราไม่มีเงินเสียภาษีปีละ 6,000 บาท เราต้องตระหนักว่า การมีทรัพย์สินของเราอยู่ในสังคม เราในฐานะพลเมืองดี ต้องมีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ข้อนี้จะโทษประชาชนเจ้าของที่ดินเสียเลยก็คงไม่ใช่ เพราะรัฐไม่พยายามให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องนี้ และใครที่สามารถ “วางแผนภาษี” หรือ “เลี่ยงภาษี” ได้ก็กลับได้รับการยกย่องเป็น “ยอดคน” เสียอีก
มาช่วยกันเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อชาติกันเถอะ