นี่คือปฏิบัติการ 1 วันในกรุงจาการ์ตาของผม ว่าทรหดหรือไม่อย่างไร นี่ถึงขั้นนอนสนามบินเลย (ทดสอบความอดทนต่อความยากลำบาก จะได้ไม่ลืมตัว) มาดูกัน
ผมไปกรุงจาการ์ตาในเวลา 1 วัน ไม่ได้ไปถึงแล้วกลับ แต่ไปปฏิบัติงานประเมินค่าทรัพย์สินในจังหวัดใกล้ๆ กรุงจาการ์ตา มาดูการตะลุยในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน
แม้จะอายุ 64 ปีแล้ว แม้จะพอมีฐานะสะสมความมั่งคั่ง (เล็กๆ น้อยๆ) ไว้บ้างแล้ว แต่คนเราต้องไม่ลืมความยากลำบากในสมัยเด็กๆ และยังต้องพยายามต่อสู้กับสังขารของตนเองบ้าง โดยในนิราศนี้ ผมออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครในเวลา 00:30 ของวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ก็คือเดินทางไปรอที่สนามบินดอนเมืองตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม
เสียดายไม่มี Lounge พอดีผมเป็นสมาชิกของบัตร Priority Pass ที่ภริยาสมัครไว้ให้ แต่ที่สนามบินดอนเมืองปรากฏว่า Lounge ที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวก็ปิดตั้งแต่ 2 ทุ่ม ผมไปรอขึ้นเครื่องตอน 3 ทุ่มก็เลยอด แต่ก็ดีอย่าง เพราะจะได้ไม่ทานอะไรมากเกินไป จะได้ไม่อ้วน (ไปกว่านี้)
พอขึ้นเครื่องได้ผมก็พยายามหลับให้ได้มากที่สุด เพราะในเช้าวันที่ 28 ตุลาคม จะต้องไปปฏิบัติงาน ปรากฏว่าเครื่องบินไปถึงกรุงจาการ์ตาในเวลา 04:00 น. ผมก็ถือโอกาสนอนที่สนามบินจนถึงเวลา 06:30 น. ก็มีคนมารับไปทำงานเลย แรกๆ นอนบนม้านั่งก็ยังไม่หลับ แต่ภายหลังก็หลับสนิท ดีที่ตั้งเวลาปลุกไว้ ก็เลยได้ตื่นขึ้นมา
เคล็ดลับสำคัญของการหลับที่สนามบินก็คือต้องมีแจ็กเก็ตสักตัวหนึ่งเพราะในสนามบินจะหนาวกว่าปกติ ลำพังเสื้อยืดหรืออะไรนี่จะเอาไม่อยู่ ทนหนาวไม่ได้ แต่ก็ต้องใส่ร้องเท้าไว้ด้วยก็ดี คล้ายๆ กับศพที่เขาจะใส่รองเท้าให้เรียบร้อย ที่ผมใส่ร้องเท้าไว้ก็เพราะจะได้ไม่ (บังเอิญ) หาย และกันความเย็นจากแอร์ในสนามบินด้วย
จากเวลา 06:30 – 15:00 ผมก็ปฏิบัติการสำเร็จ ไปสำรวจโรงงาน นิคมอุตสาหกรรม ถ่ายภาพ คุยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง สำรวจราคาทรัพย์สิน สำรวจสภาพสิ่งก่อสร้างและที่ดิน ตลอดจนสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบของทรัพย์สินว่าเป็นอย่างไร มีความเปลี่ยนแปลงจากอดีตอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ทรัพย์สินที่ผมสำรวจนั้นอยู่ในจังหวัดบันเทนซึ่งอยู่นอกกรุงจาการ์ตาไปทางตะวันตก ทางเดียวกับที่ไปเกาะสุมาตราและหมู่เกาะกรากะเตาที่เคยระเบิดเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
หลังจากสำรวจเสร็จ ผมก็มีโอกาสมา update สถานการณ์ในตัวกรุงจาการ์ตา ผมเลือกลงในเขตใจกลางเมือง ไปเยี่ยมเพื่อนร่วมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง แต่ต้องเดินผ่านชุมชนแออัด ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยได้เป็นที่ปรึกษาของธนาคารโลก มาศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาเมือง ผมเคยเสนอให้พัฒนาชุมชนแออัดให้ขึ้นในแนวตั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ในเขตเมืองได้โดยไม่ต้องออกไปอยู่นอกเมือง ทำให้การจราจรไม่ติดขัดจนเกินไป
หลังจากการเยี่ยมเยียนเพื่อนร่วมวิชาชีพที่เป็นกรรมการของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งอาเซียนแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถไฟเพื่อจะไปสนามบินนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตาของกรุงจาการ์ตา ผมเดินเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ระหว่างทางก็ยังได้อัดคลิปเปิดโปงและต่อต้านการ “ขายชาติ ขายแผ่นดิน” ในประเทศไทยที่ให้ต่างชาติมาซื้อที่ดินอยู่อาศัยได้ 1 ไร่ เพียงนำเงินเข้ามา 40 ล้านบาท
ผมยังได้ชมทัศนียภาพกรุงจาการ์ตาที่มีหมู่ตีกสวยงามบนสะพานสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งวิวนี้คนจาการ์ตาเองคงไม่ค่อยได้มีโอกาสชม เพราะจะชมได้ก็ต้องเดินขึ้นสะพาน และคงมีน้อยคนนักที่จะเดินเช่นผม อย่างไรก็ตามบนสะพานก็มีหนุ่มสาวมายืนคุยกันโดยขี่มอเตอร์ไซค์มาจอด และพามีคนมา ก็จะมีมอเตอร์ไซค์ขายชา-กาแฟและขนมมาจอดเช่นกัน เรียกได้ว่าทำธุรกิจได้ในทุกสภาวะ
ผมนั่งรถไฟจากใจกลางกรุงจาการ์ตาไปสนามบิน ทั้งนี้แต่ก่อนเคยแต่นั่งรถบัสจากสนามบินเข้าเมือง รถไฟสายนี้เพิ่งเปิดเมื่อ 4 ปีก่อนนี้เอง (ก่อนโควิด 19) ซึ่งนับว่าสะดวกมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ก็ถึงสนามบิน รถไฟก็สะอาดสะอ้านดีมาก คนขึ้นไม่มาก คงปีละประมาณแค่ 2 ล้านคน
พอถึงสนามบินเวลา 20:00 น. ผมก็นั่งทำโน่นนี่ไป และพยายามหลับในช่วงเวลา 23:00 – 03:00 น. โดย “ตามฟอร์ม” นอนราบบนม้านั่ง ซึ่งก็นอนหลับได้สนิทพอสมควร ไม่เฉพาะแต่ผมที่นอนแบบนี้ มีคนหลายคนก็ทำเช่นกัน เพราะมีไฟลท์ตลอดทั้งคืน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนอนที่สนามบินแห่งนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ใช้ Terminal 3 จากแต่เดิมเป็น Terminal 2 ซึ่งเต็มแล้ว
พอตื่นขึ้นมาเช็คอิน แต่น่าเสียดายที่ต้องยืนเข้าคิวเป็นชั่วโมง เพราะแต่ละคนมีกระเป๋าหิ้วขนาดใหญ่ๆ ทั้งนั้น มีเพียงผมที่มีถุงผ้าใบเดียว ทำให้พอเดินมาถึง Lounge ก็เป็นเวลาต้องขึ้นเครื่องบินแล้วในเวลา 05:00 น. จึงไม่ได้รับประทานอะไรเลย จนมาถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่อ้วน (ไปกว่านี้)
ขอกล่าวถึงสัมภาระ ผมมีถุงผ้าใบเดียว ประกอบด้วยเสื้อ 1 ตัว เอกสารบางส่วน และหนังสือของผมที่เอาไปฝากลูกค้าจำนวนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งขากลับ ยิ่งแทบไม่มีอะไรเลย สำหรับแจ็กเก็ตผมก็ใส่ไปด้วยเลย เวลาไป ก็ใส่เสื้อยืด ทับด้วยแจ็กเก็ต พอถึงเวลาเช้า ก็เปลี่ยนเป็นใส่เสื้อเชิร์ตเพื่อให้ดูสุภาพ ตกกลางคืนตอนนอนที่สนามบิน ก็ยังใส่เสื้อเชิร์ตตัวเดิมและทับด้วยแจ็กเก็ต จนมาถึงเช้าวันที่ 29 ตุลาคม ขณะพานักศึกษาดูงาน จึงค่อยใส่เสื้อยืดที่ใส่ตอนนอนในคืนวันที่ 27 ตุลาคม คาบเกี่ยว 28 ตุลาคม เพราะเสื้อยืดดังกล่าวยังถือว่า “สะอาด” อยู่
เช้าวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ผมก็กะจะ “ฟาด” ข้าวแกงสักหน่อย แต่ไม่มีจังหวะ ผมนั่งรถเมล์ปรับอากาศไปลงสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วต่อแท็กซี่ไปลงนวนคร พอจะทานข้าว ก็ปรากฏว่ารถของคณะนักศึกษาที่นัดไว้ มาแล้ว ผมก็เลยได้รับประทานเมื่อเวลา 12:00 น. และพากันไปดูงานทั้งที่ปทุมธานีและนนทบุรี หลังจากการดูงานและบรรยาย ก็กลับถึงกรุงเทพมหานครเวลา 16:00 น.
นี่และครับภารกิจนิราศกรุงจาการ์ตาของผม ซึ่งก็ไม่ได้อันตรายอะไร แต่เป็นการทดสอบสมรรถนะของตนเองเท่านั้น