สุดตื่นเต้นและขมขื่นจริงๆ กับการเริ่มต้นเดินทางไปเมืองหงสาวดีหรือพะโคของเมียนมา แต่โชคดีกลับมาได้อย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง (มีสุข)
ในระหว่างวันที่ 8-9 พฤศจิกายน 2565 ผมได้เดินทางไปเมืองหงสาวดี (เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า “พะโค”) ของเมียนมาเพื่อไปประเมินค่าทรัพย์สินตามคำสั่งของลูกค้ามาเลเซีย แค่เริ่มต้นก็สุดตื่นเต้นและขมชื่นซะแล้ว เพราะผมไปขึ้นเครื่องบินตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 พฤจิกายน แต่ไม่ได้เดินทางครับ เพราะไม่ได้ประกันการรักษาโควิดที่เมียนมา ก็ใครจะรู้ล่ะครับ เพราะหลังโควิด ผมก็เดินทางไปหลายประเทศ ไม่เคยเจอแบบนี้เลย มีคนไปไม่ได้อย่างผมหลายคนเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่ของแอร์เอเซียก็พยายามช่วยกรอกใบสมัครซื้อประกันของเมียนมาให้ผม แต่ก็ไม่สำเร็จ เครื่องบินออกเวลา 07:30 เขากรอกถึง 07:40 ก็ไม่สำเร็จ จนเครื่องบินต้องออกโดยทิ้งผมกับคนอื่นๆ ไป อันที่จริง ถ้าผมเช็คอินที่เคาน์เตอร์ด้านนอกก่อนตรวจคนเข้าเมืองก่อน ก็คงสมัครประกันโควิดได้ทัน แต่พอดีผมแช็คอินล่วงหน้า จึงรู้ตัวเมื่อตอนเครื่องจะออกแล้ว
สุดท้ายผมจึงต้องเดินคอตกกลับบ้าน โดยเจ้าหน้าที่พาออกจากตรวจคนเข้าเมือง โดยต้องประทับตราว่าการเดินทางออกนอกประเทศยกเลิก (ดูเหมือนทำอะไรผิดชอบกล) ผมยังต้องเสียเงินเพิ่มจากการเปลี่ยนตั๋วอีก 3,000 บาท ดีนะที่แอร์เอเซียให้ความกรุณาไม่ต้องถึงขนาดซื้อตั๋วใหม่ ดังนั้นผมจึงเสียเวลาไป 1 วัน ต้องเดินทางใหม่ในวันรุ่งขึ้น (8 พฤศจิกายน) แทน และกลับในวันถัดไป ขมขื่นดีไหมครับ
พอถึงวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน ผมก็ออกเดินทางใหม่ คราวนี้เอกสารทุกอย่างพร้อม พอไปถึงนครย่างกุ้ง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ตรวจเอกสารประกันโควิดเลย ทั้งที่แอร์เอเชียขู่ไว้ว่าถ้าไม่มีประกัน จะไม่ได้เข้าเมือง จะถูกส่งกลับ สงสัยทางการรัฐบาลทหารเมียนมา ให้ทำประกันเพื่อหาเงินเข้าประเทศ แต่พอจะเดินย่างออกจากสนามบิน เจ้าหน้าที่ก็สั่งให้ไปตรวจโควิด โดยต้องเสียเงินราว 400 บาท ซึ่งคงเป็นการหากินเพิ่มอีก
เขาบอกว่าให้ใช้แต่เงินจ๊าดจ่ายค่าตรวจ ซึ่งคนอื่นๆ คงต้องเอาดอลลาร์ไปแลก รัฐบาลทหารคงได้เงินดอลลาร์เพิ่ม แต่สำหรับผม ศรีภริยาเตรียมเงินจ๊าดให้ไปเยอะ เลยไม่ต้องแลก ปกติไปประเทศไหนๆ ศรีภริยาก็แลกเงินท้องถิ่นเก็บแยกถุงไว้ ผมไปไหนก็ค่อยเอาไปใช้ แต่ก็เคยเสียท่า เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์ยกเลิกธนบัตรเก่า ทำให้เงินที่พกไปกลายเป็น “แบงค์กงเต๊ก” ไป
ผมปฏิบัติงานทุกอย่างลุล่วงด้วยดี ได้รับเลี้ยงทุกมื้อไปเลย เจ้าภาพก็พยายามเลี้ยงเบียร์ผม แต่ผมก็ขอแค่น้ำดำ (โค้กหรือเป๊ปซี่ก็ได้ ดื่มมาจนอายุปูนนี้ยังแยกไม่ออก) ก็พอ ไม่ชอบแอลกอฮอล์ที่ขมๆ (แต่เขาว่าถ้าข้ามพ้นความขมไปได้ สวรรค์และความรื่นรมย์รอเราอยู่!!!) ขากลับผมยังได้แวะเยี่ยมนายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เมียนมา ได้สานสัมพันธ์ที่ดี ตลอดจนได้รับพบปะกับมิตรสหายในวงการอสังหาริมทรัพย์เมียนมา
ผมไปถึงสนามบินก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เผื่อว่าจะยุ่งยากตอนขากลับ แต่ก็ปรากฏว่าราบรื่น คงเป็นเพราะขาเดินทางออกนอกประเทศ เขาคงไม่เข้มงวด ยกเว้นสิ่งเดียวก็คือตลับเมตรวัดความยาว ซึ่งวัดได้ยาวแค่ 7 เมตรเท่านั้น กลับโดนทางการเมียนมายึดไป บอกเอาขึ้นเครื่องไม่ได้ แต่เอาเข้าประเทศเขาได้ ไม่รู้เขาจะเอาไว้ใช้วัดอะไรหรือเปล่า (ฮา) ปกติไปประเมินค่าทรัพย์สินที่ไหน นักประเมินก็จะเอาตลับเมตรแบบนี้ไป หรือไม่ก็เอาเครื่องวัดแบบดิจิตอลไปแทน
แต่สิ่งหนึ่งที่โชคดีมากก็คือเลาจน์ที่นี่ดีมาก ผมเป็นสมาชิก Priority Pass (ศรีภริยาผมสมัครให้) จึงเข้าไปนั่งสบายๆ ที่นั่นได้ เลาจน์ประเทศอื่นๆ บ้างก็ไม่เปิด บ้างก็เปิดแบบไม่เต็มใจเปิด บริการต่างๆ จำกัด แต่ที่นี่ของกินเพียบ แถมยังมีบริการให้อาบน้ำ ผมก็เลยใช้บริการสักหน่อยก่อนกลับบ้าน สบายตัว สบายใจแท้ อาจกล่าวได้ว่าเลาจน์นี้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียนในขณะนี้ ผมไปที่กัมพูชา มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์และอินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ อาจมีเพียงเลาจน์ของสิงคโปร์แอร์ไลน์ที่สุดยอดที่สุดก็ว่าได้
สุดท้ายผมก็เดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ อากาศดี ไม่มีกระเด้งบนเครื่องบิน นับว่าเป็นแฮปปี้เอ็นดิ้งด้วยประการ ณ นี้