โครงการอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในเดือนพฤศจิกายน 2565 เปิดกระหน่ำจำนวนถึง 45 โครงการ เป็นโครงการที่อยู่อาศัย 44 โครงการ และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ อีก 1 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่รวม 11, 880 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 59,961 ล้านบาท สถานการ์ตอนนี้อยู่ในช่วง “บูม” สุดๆ
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่าในเดือนพฤศจิกายน 2565 จำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีทั้งหมด 11,880 หน่วย เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อยประมาณ 7.3% ส่วนมูลค่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนนี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 59,961 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2565 ประมาณ 22.1% ซึ่งในเดือนนี้ลักษณะการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่จะอยู่ที่ระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะที่ระดับราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไปมีมากถึงร้อยละ 10.6 ของบ้านเดี่ยวที่เปิดขายในเดือนนี้
ประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดในเดือนนี้ คือ อาคารชุด มีจำนวน 6,162 หน่วย (51.9%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว 2,759 หน่วย (23.2%) ส่วนอันดับ 3 คือ ทาวน์เฮ้าส์ 2,180 หน่วย (18.4%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด ส่วนประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด คือ บ้านเดี่ยว 33,887 ล้านบาท (56.5%) รองลงมาคือ อาคารชุด 15,856 ล้านบาท (26.4%) ส่วนอันดับ 3 คือ ทาวน์เฮ้าส์ 5,558 ล้านบาท (9.3%) ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด ตามลำดับ
ดังนั้นภาพรวมของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ส่วนใหญ่หากเป็นบ้านเดี่ยวจะเน้นที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ที่ราคา 2-3 ล้านบาท และอาคารชุดที่ราคา 1-2 ล้านบาท ซึ่งระดับราคาขายจะแตกต่างกับเดือนที่ผ่านมา โดยเน้นการพัฒนาสินค้าเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มอาคารชุดราคาถูกสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ และกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับไฮเอ็นด์สำหรับผู้มีรายได้สูงที่ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยที่ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาท จำนวน 5,679 หน่วย หรือประมาณ 47.8% ของหน่วยขายทั้งตลาด และมูลค่าโครงการคิดเป็น 78.8% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดในเดือนนี้ ราคาเฉลี่ยที่ต่อหน่วยของเดือนนี้ 5.047 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ (13.9%) จากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 4.433 ล้านบาท แสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่รองรับกำลังซื้อของทุกกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังมีการพัฒนาบ้านระดับราคาไฮเอ็นด์เพื่อรองรับกลุ่มผู้มีรายได้สูง และกลุ่มชาวต่างชาติที่ซื้อไว้พักอาศัยและเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่นย่านบางนา ศรีนครินทร์ วงแหวนตะวันออก เป็นต้น
ในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 14% ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 18% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการได้สูงสุด และมีจำนวนหน่วยขายเป็นส่วนใหญ่ของตลาด คือ อาคารชุดราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จำนวน 107 หน่วย ขายได้แล้ว 63 หน่วย (59%) รองลงคือ บ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 320 หน่วย ขายได้แล้ว 86 หน่วย (27%) และอันดับ 3 คือ ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 134 หน่วย ขายได้แล้ว 44 หน่วย (33%)
ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 14 บริษัท คือ บริษัท โนเบิลดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท แลนด์แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท วิลล่าคุณาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สิงห์เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท อีสเทอร์นสตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เอพี(ไทยแลนด์) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือและบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง หากเปรียบเทียบการพัฒนาระหว่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทในเครือ และบริษัททั่วไป
ทำเลที่มีการเปิดขายใหม่ สำหรับอาคารชุดที่เปิดขายจะตั้งอยู่บริเวณกรุงเทพชั้นกลาง พื้นที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า และบริเวณแหล่งงาน เช่น ถนนสุขุมวิท 77 (ถนนอ่อนนุช) ถนนสมเด็จเจ้าพระยา ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนกรุงธนบุรี ถนนเพชรเกษม ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนแพรกษา เป็นต้น ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการเปิดใหม่ส่วนใหญ่จะกระจายตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นกลางและเขตติดต่อเมือง เช่น ถนนวงแหวนตะวันออก ถนนพัฒนาการ ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ ถนนเทพารักษ์ ถนนพระราม 2 ถนนนครอินทร์ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าในการเปิดตัวโครงการล่าสุดนี้ เปิดตัวจำนวนมากจริงๆ ขณะนี้อยู่ในช่วงบูมปลายปี และสินค้าที่ขายดี จะเป็นสินค้าราคาแพง (ซึ่งอาจมีต่างชาติมาซื้อ) และราคาถูก (เพื่อการเก็งกำไร) แนวโน้มการเปิดตัวในเดือนธันวาคม ยังน่าจะเติบโตต่อเนื่อง
บทความนี้ตีพิมพ์ในประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 18 ธันวาคม 2565