ตอนนี้หลายคนดีใจที่ไทยได้ญาติดีกับซาอุดีอาระเบีย บางคนก็กระดี๊กระด๊ากับการคบจีน แต่ ดร.โสภณขอเตือนให้ระวังจีน และแนะนำว่าหนทางแห่งความเจริญต้องดูที่ประเทศไหนดี มาลองดูกัน
หลายคนยังคงจำคดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดีอาระเบียได้เป็นคดี โดยนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ลูกจ้างชาวไทยในวันที่ 6 สิงหาคม 2532 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและไทยเสื่อมลงเป็นเวลามากกว่า 30 ปี ตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว แต่ทางการซาอุดีอาระเบียแจ้งว่าเพชรบลูไดมอนด์และเครื่องเพชรส่วนใหญ่หายไป ทางการซาอุดีอาระเบียส่งข้าราชการเข้ามาสืบสวนเอง แต่ถูกลักพาตัว บ้างก็ถูกลอบฆ่า เรื่องที่อยู่ของเพชรปัจจุบันและผู้ก่อเหตุฆ่านักการทูตชาวซาอุดีอาระเบียยังเป็นปริศนา จนกลายเป็นการกระทบอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทำไทยเสียหายมากมายที่ไม่สามารถส่งออกแรงงานได้
อันที่จริงสัมพันธภาพระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ทำท่าจะดีขึ้น โดยในปี 2547 ในสมัยทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มส่งออกไก่ ต่อมีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้พานักลงทุนซาอุดีอาระเบียรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งมาไทย กะว่าจะมาลงทุนทำนาเพื่อส่งออก แต่ถูกต่อต้านหาว่า “ขายชาติ” เรื่องจึงเงียบไป ลุถึงเดือนมกราคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้เดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่ และบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศก็ดีขึ้นตามลำดับ ในที่ประชุม APEC ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ซาอุดีอาระเบียก็เข้าร่วมประชุมด้วย
จะเห็นได้ว่าไทยเคยมีรายได้ประชาชาติสูงกว่าซาอุดีอาระเบียในช่วงปี 2511-2514 แต่หลังจากนั้นซาอุดีอาระเบียก็เริ่มแซงไทย คงเป็นเพราะมีรายได้จากการขายน้ำมันมหาศาล ในช่วงปี 2532 รายได้ประชาชาติต่อหัวของไทยเป็นเงินเพียง 1,295 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียสูงถึง 6,086 ดอลลาร์ หรือชาวซาอุดีอาระเบียรวยกว่าไทยถึง 4.7 เท่าเข้าไปแล้ว คนไทยจึงไปขายแรงงานกันมาก แม้แต่ชาวเกาหลีใต้ในขณะที่ยังไม่เจริญเช่นทุกวันนีร้ก็ยังเคยไปขายแรงงานที่ซาอุดีอาระเบียในห้วงปี 2523-2525 มาแล้ว
อย่างไรก็ตามสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปแล้ว ขณะนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวของซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ 1,543,240 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าไทยเพียง 28% เท่านั้น แต่โดยที่ประเทศนี้มีประชากรน้อยกว่าไทยคือมีเพียง 51% ของไทย จึงทำให้รายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทย โดยเท่ากับ 2.5 เท่าหรือ 252% ของไทย จะเห็นได้ว่าประเทศนี้มีอัตราการว่างงานที่สูงมากถึง 6% ในขณะที่ไทยอยู่ที่เพียง 1% เท่านั้น
ซาอุดีอาระเบียกำลังถดถอยลงเพราะน้ำมัน จากเคยเป็นประเทศปลอดภาษี แต่ต่อมาซาอุดีอาระเบียประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสามเท่าจาก 5% เป็น 15% และยกเลิกเงินช่วยเหลือประชาชนรายเดือนทั้งนี้เพราะ
ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงจนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้รายได้ของรัฐบาลหดหายไปและโครงการใหญ่ ๆ ทั้งหลายต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ตามในปี 2565 เศรษฐกิจก็มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาในรอบ 10 ปีเพราะราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบ แต่ก็คงไม่เหมือนเดิม และมีการผลิตรถไฟฟ้ามาดทแทนรถพลังงานจากน้ำมันกันมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้การที่เราจะหวังขยายตลาดไปยังซาอุดีอาระเบีย และนึกถึงภาพว่าประเทศนี้ร่ำรวยใหญ่โต ก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก สักวันหนึ่งไทยอาจพัฒนาไปเหนือชั้นกว่าซาอุดีอาระเบียเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ก็เป็นไปได้ และสักวันหนึ่งหากน้ำมันหมดไปจากตะวันออกกลาง ประเทศในแถบนั้นอาจกลับมาจนเหมือนเดิมก็ได้ อย่าว่าแต่ซาอุดีอาระเบียเลย แม้แต่บาห์เรน การ์ตา (โดฮา) ยูเออี (ดูไบ) จะให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เช่น สิงคโปร์ เป็นสิ่งที่ยากจะหวังเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนมองว่าไทยควรจะเกาะติดกับจีนในฐานะ “พี่เอื้อย” ทางเศรษฐกิจ แต่จีนอาจมีสภาพเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” หนักกว่าญี่ปุ่นที่โดนประณามเช่นนี้ในอดีตเสียอีก เพราะการลงทุนของจีนมีทั้งธุรกิจสีเทา และธุรกิจที่ค่อนข้างจะเอาเปรียบประเทศที่ไปลงทุนด้วย เช่น “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” หรือการไปเที่ยวตั้ง “ล้ง” เพื่อควบคุมธุรกิจ สินค้า และการส่งออกของประเทศคู่ค้า รวมทั้งการนำเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรต่างๆ ไปปลูกเองในประเทศตนเอง เพื่อลดหรือเลิกการนำเข้าจากต่างประเทศ ดูจีนจะนำไทยเป็น “มณฑล” หนึ่งของจีนมากกว่าที่จะช่วยให้ไทยเจริญขึ้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะไทยไม่มีพลังต่อรองเช่นจีนที่ใครไปลงทุนในจีน จะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีนหมด แต่ไทยเรา แม้แต่หัวรถจักรรถไฟก็ยังไม่สามารถผลิตได้ ทั้งที่ไทยมีรถไฟมา 132 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 2433)
แบบฉบับที่ไทยควรศึกษาเรียนรู้มากที่สุดก็คงเป็นเกาหลีใต้และไต้หวัน ดูอย่างเกาหลีใต้ ก็เคยยากจนกว่าไทยในช่วงปี 2503-2510 แต่ก็ค่อยๆ เขยิบฐานะดีขึ้น เกาหลีใต้มีขนาดเพียง 96,920 ตารางกิโลเมตรหรือเพียง 19% ของไทย และมีประชากรน้อยกว่าไทย คือ 51.8 ล้านคน หรือเพียง 74% ของไทย และแม้มีความหนาแน่นของประชากรมากกว่าไทย คือราว 4 เท่า (392%) ทำให้ต้องแย่งกันกินกันใช้ทรัพยากรกันมาก แต่ก็สามารถพัฒนาตนเองให้เจริญมากเช่นเดียวกับไต้หวัน
ประเทศจีนที่เจริญขึ้นมากมาย ก็คงไมใช่เพราะการปกครองแบบสังคมนิยมเสียทีเดียว แต่คงเป็นสัญชาตญาณของคนภาคพื้นตะวันออกที่ขยันขันแข็ง ดูเกาหลี ไต้หวัน และญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างน่าพิศวง เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ทั่วโลก ปริมาณเงินสำรองหรือทองก็มาก ยิ่งในอนาคต โอกาสการพัฒนาก็ยังมีอีกมาก
ประเทศ GDP เฉลี่ย/ปี 2565-9
เกาหลีใต้ 5.0%
จีน 7.9%
ซาอุดีอาระเบีย 3.5%
ญี่ปุ่น 4.2%
ไต้หวัน 5.4%
ไทย 5.8%
สหรัฐอเมริกา 4.1%
อินเดีย 7.8%
ที่มา: https://ceoworld.biz/2022/03/31/economy-rankings-largest-countries-by-gdp-2022/
จะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2565-2569 นั้น ซาอุดีอาระเบียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP เพียง 3.5% ต่อปี เพราะน้ำมันคงไม่ได้ขึ้นราคาได้ตามใจชอบเช่นแต่ก่อน ในขณะที่เกาหลีใต้และไต้หวันก็ยังเติบโตที่ 5.0% และ 5.4% เฉลี่ยต่อปี และอินเดียก็ยังเติบโตที่ 7.8% ต่อปี ซึ่งสูงมาก แม้จะน้อยกว่าจีนที่ 7.9% ต่อปี ดังนั้นไทยจึงควรศึกษาแบบอย่างจากเกาหลีใต้และไต้หวันให้มาก
ไทยควรรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และไต้หวันให้มากไว้ เพราะสถิติก่อนช่วงโควิด เขาเริ่มเปลี่ยนไปเที่ยวเวียดนามกันแล้ว แม้แต่นักลงทุนทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวันก็หันไปลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยบางส่วนก็ถอนทุนออกจากไทย ต่อไปไทยอาจจะมีแต่โรงงานจีนที่เอาเปรียบไทย และไทยก็อาจต้องคบกับอินเดียให้มาก เพราะการคานกำลังอำนาจทางเศรษฐกิจไว้ด้วยเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นที่เกาหลี ไต้หวัน อินโดนีเซีย หรือแม้แต่เมียนมา (ในห้วงเวลาหนึ่ง) มีการพัฒนามากขึ้นเป็นอย่างมาก ก็คงเป็นเพราะมีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็อาจมีคำถามว่าจีนก็มีสภาพเป็น “เผด็จการ” ทำไมจึงเจริญ ทั้งนี้คงเป็นเพราะ ผู้นำไม่ทุจริต ไม่กอบโกยเข้าตัวเอง แต่วันหนึ่งข้างหน้าประชาชนก็คงไม่ต้องการอำนาจ “เบ็ดเสร็จ” อยู่ดี จึงคิดไปซื้อบ้านในต่างประเทศกันมาก
เราต้องพัฒนาประเทศให้ถูกทาง