อย่าหลงซาอุฯ ระวังจีน เราควรคบประเทศไหนดี
  AREA แถลง ฉบับที่ 011/2566: วันพฤหัสบดีที่ 05 มกราคม 2566

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            ตอนนี้หลายคนดีใจที่ไทยได้ญาติดีกับซาอุดีอาระเบีย บางคนก็กระดี๊กระด๊ากับการคบจีน แต่ ดร.โสภณขอเตือนให้ระวังจีน และแนะนำว่าหนทางแห่งความเจริญต้องดูที่ประเทศไหนดี มาลองดูกัน

            หลายคนยังคงจำคดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดีอาระเบียได้เป็นคดี โดยนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ลูกจ้างชาวไทยในวันที่ 6 สิงหาคม 2532 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและไทยเสื่อมลงเป็นเวลามากกว่า 30 ปี ตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว แต่ทางการซาอุดีอาระเบียแจ้งว่าเพชรบลูไดมอนด์และเครื่องเพชรส่วนใหญ่หายไป ทางการซาอุดีอาระเบียส่งข้าราชการเข้ามาสืบสวนเอง แต่ถูกลักพาตัว บ้างก็ถูกลอบฆ่า เรื่องที่อยู่ของเพชรปัจจุบันและผู้ก่อเหตุฆ่านักการทูตชาวซาอุดีอาระเบียยังเป็นปริศนา จนกลายเป็นการกระทบอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทำไทยเสียหายมากมายที่ไม่สามารถส่งออกแรงงานได้

            อันที่จริงสัมพันธภาพระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ทำท่าจะดีขึ้น โดยในปี 2547 ในสมัยทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มส่งออกไก่ ต่อมีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 ดร.ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรีได้พานักลงทุนซาอุดีอาระเบียรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งมาไทย  กะว่าจะมาลงทุนทำนาเพื่อส่งออก แต่ถูกต่อต้านหาว่า “ขายชาติ” เรื่องจึงเงียบไป  ลุถึงเดือนมกราคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้เดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่ และบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศก็ดีขึ้นตามลำดับ ในที่ประชุม APEC ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ซาอุดีอาระเบียก็เข้าร่วมประชุมด้วย

 

 

            จะเห็นได้ว่าไทยเคยมีรายได้ประชาชาติสูงกว่าซาอุดีอาระเบียในช่วงปี 2511-2514 แต่หลังจากนั้นซาอุดีอาระเบียก็เริ่มแซงไทย คงเป็นเพราะมีรายได้จากการขายน้ำมันมหาศาล ในช่วงปี 2532 รายได้ประชาชาติต่อหัวของไทยเป็นเงินเพียง 1,295 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียสูงถึง 6,086 ดอลลาร์ หรือชาวซาอุดีอาระเบียรวยกว่าไทยถึง 4.7 เท่าเข้าไปแล้ว คนไทยจึงไปขายแรงงานกันมาก  แม้แต่ชาวเกาหลีใต้ในขณะที่ยังไม่เจริญเช่นทุกวันนีร้ก็ยังเคยไปขายแรงงานที่ซาอุดีอาระเบียในห้วงปี 2523-2525 มาแล้ว

 

       

            อย่างไรก็ตามสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปแล้ว ขณะนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวของซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ 1,543,240 ล้านดอลลาร์     สูงกว่าไทยเพียง 28% เท่านั้น แต่โดยที่ประเทศนี้มีประชากรน้อยกว่าไทยคือมีเพียง 51% ของไทย จึงทำให้รายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทย โดยเท่ากับ 2.5 เท่าหรือ 252% ของไทย  จะเห็นได้ว่าประเทศนี้มีอัตราการว่างงานที่สูงมากถึง 6% ในขณะที่ไทยอยู่ที่เพียง 1% เท่านั้น

            ซาอุดีอาระเบียกำลังถดถอยลงเพราะน้ำมัน จากเคยเป็นประเทศปลอดภาษี  แต่ต่อมาซาอุดีอาระเบียประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสามเท่าจาก 5% เป็น 15% และยกเลิกเงินช่วยเหลือประชาชนรายเดือนทั้งนี้เพราะ

ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงจนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้รายได้ของรัฐบาลหดหายไปและโครงการใหญ่ ๆ ทั้งหลายต้องหยุดชะงัก  อย่างไรก็ตามในปี 2565 เศรษฐกิจก็มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาในรอบ 10 ปีเพราะราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบ  แต่ก็คงไม่เหมือนเดิม และมีการผลิตรถไฟฟ้ามาดทแทนรถพลังงานจากน้ำมันกันมากขึ้น  

            ด้วยเหตุนี้การที่เราจะหวังขยายตลาดไปยังซาอุดีอาระเบีย และนึกถึงภาพว่าประเทศนี้ร่ำรวยใหญ่โต ก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก สักวันหนึ่งไทยอาจพัฒนาไปเหนือชั้นกว่าซาอุดีอาระเบียเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ก็เป็นไปได้ และสักวันหนึ่งหากน้ำมันหมดไปจากตะวันออกกลาง ประเทศในแถบนั้นอาจกลับมาจนเหมือนเดิมก็ได้ อย่าว่าแต่ซาอุดีอาระเบียเลย แม้แต่บาห์เรน การ์ตา (โดฮา) ยูเออี (ดูไบ) จะให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เช่น สิงคโปร์ เป็นสิ่งที่ยากจะหวังเป็นอย่างยิ่ง

            หลายคนมองว่าไทยควรจะเกาะติดกับจีนในฐานะ “พี่เอื้อย” ทางเศรษฐกิจ แต่จีนอาจมีสภาพเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” หนักกว่าญี่ปุ่นที่โดนประณามเช่นนี้ในอดีตเสียอีก เพราะการลงทุนของจีนมีทั้งธุรกิจสีเทา และธุรกิจที่ค่อนข้างจะเอาเปรียบประเทศที่ไปลงทุนด้วย เช่น “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” หรือการไปเที่ยวตั้ง “ล้ง” เพื่อควบคุมธุรกิจ สินค้า และการส่งออกของประเทศคู่ค้า รวมทั้งการนำเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรต่างๆ ไปปลูกเองในประเทศตนเอง เพื่อลดหรือเลิกการนำเข้าจากต่างประเทศ  ดูจีนจะนำไทยเป็น “มณฑล” หนึ่งของจีนมากกว่าที่จะช่วยให้ไทยเจริญขึ้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะไทยไม่มีพลังต่อรองเช่นจีนที่ใครไปลงทุนในจีน จะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีนหมด แต่ไทยเรา  แม้แต่หัวรถจักรรถไฟก็ยังไม่สามารถผลิตได้ ทั้งที่ไทยมีรถไฟมา 132 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 2433)

 

 

            แบบฉบับที่ไทยควรศึกษาเรียนรู้มากที่สุดก็คงเป็นเกาหลีใต้และไต้หวัน ดูอย่างเกาหลีใต้ ก็เคยยากจนกว่าไทยในช่วงปี 2503-2510 แต่ก็ค่อยๆ เขยิบฐานะดีขึ้น  เกาหลีใต้มีขนาดเพียง 96,920 ตารางกิโลเมตรหรือเพียง 19% ของไทย และมีประชากรน้อยกว่าไทย คือ 51.8 ล้านคน หรือเพียง 74% ของไทย  และแม้มีความหนาแน่นของประชากรมากกว่าไทย คือราว 4 เท่า (392%) ทำให้ต้องแย่งกันกินกันใช้ทรัพยากรกันมาก แต่ก็สามารถพัฒนาตนเองให้เจริญมากเช่นเดียวกับไต้หวัน

            ประเทศจีนที่เจริญขึ้นมากมาย ก็คงไมใช่เพราะการปกครองแบบสังคมนิยมเสียทีเดียว แต่คงเป็นสัญชาตญาณของคนภาคพื้นตะวันออกที่ขยันขันแข็ง ดูเกาหลี ไต้หวัน และญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างน่าพิศวง เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ทั่วโลก  ปริมาณเงินสำรองหรือทองก็มาก ยิ่งในอนาคต โอกาสการพัฒนาก็ยังมีอีกมาก

 

ประเทศ                                        GDP เฉลี่ย/ปี 2565-9

เกาหลีใต้                                                          5.0%

จีน                                                                  7.9%

ซาอุดีอาระเบีย                                                   3.5%

ญี่ปุ่น                                                               4.2%

ไต้หวัน                                                            5.4%

ไทย                                                               5.8%

สหรัฐอเมริกา                                                    4.1%

อินเดีย                                                            7.8%

ที่มา: https://ceoworld.biz/2022/03/31/economy-rankings-largest-countries-by-gdp-2022/

 

            จะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2565-2569 นั้น ซาอุดีอาระเบียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP เพียง 3.5% ต่อปี เพราะน้ำมันคงไม่ได้ขึ้นราคาได้ตามใจชอบเช่นแต่ก่อน  ในขณะที่เกาหลีใต้และไต้หวันก็ยังเติบโตที่ 5.0% และ 5.4% เฉลี่ยต่อปี และอินเดียก็ยังเติบโตที่ 7.8% ต่อปี ซึ่งสูงมาก แม้จะน้อยกว่าจีนที่ 7.9% ต่อปี  ดังนั้นไทยจึงควรศึกษาแบบอย่างจากเกาหลีใต้และไต้หวันให้มาก

            ไทยควรรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และไต้หวันให้มากไว้  เพราะสถิติก่อนช่วงโควิด เขาเริ่มเปลี่ยนไปเที่ยวเวียดนามกันแล้ว แม้แต่นักลงทุนทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวันก็หันไปลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยบางส่วนก็ถอนทุนออกจากไทย  ต่อไปไทยอาจจะมีแต่โรงงานจีนที่เอาเปรียบไทย และไทยก็อาจต้องคบกับอินเดียให้มาก เพราะการคานกำลังอำนาจทางเศรษฐกิจไว้ด้วยเช่นกัน

            ยิ่งกว่านั้นที่เกาหลี ไต้หวัน อินโดนีเซีย หรือแม้แต่เมียนมา (ในห้วงเวลาหนึ่ง) มีการพัฒนามากขึ้นเป็นอย่างมาก ก็คงเป็นเพราะมีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็อาจมีคำถามว่าจีนก็มีสภาพเป็น “เผด็จการ” ทำไมจึงเจริญ ทั้งนี้คงเป็นเพราะ ผู้นำไม่ทุจริต ไม่กอบโกยเข้าตัวเอง  แต่วันหนึ่งข้างหน้าประชาชนก็คงไม่ต้องการอำนาจ “เบ็ดเสร็จ” อยู่ดี จึงคิดไปซื้อบ้านในต่างประเทศกันมาก

            เราต้องพัฒนาประเทศให้ถูกทาง

 

อ่าน 1,129 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved