ทางออกภาษีที่ดินฯ คือการเลี้ยงวัว?
  AREA แถลง ฉบับที่ 091/2566: วันพุธที่ 01 กุมภาพันธ์ 2566

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            ดร.โสภณ เสนอทางออกการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่  ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งรัฐบาลและประชาชนโดยรวม แทนที่จะแสร้งทำการเกษตรเพื่อเลี่ยงภาษีอย่างน่าละอาย

            ตามที่มีข่าว “‘แลนด์ลอร์ด’ แห่จำแลงที่ดิน ตะลึงนำที่ร้างติด ’บีทีเอสบางหว้า’ เลี้ยงวัว เลี่ยงจ่ายภาษีแพง” (https://bit.ly/3wM2tnL) ปรากฏในรายละเอียดว่า “มีลงทุนเลี้ยงวัวเพียง 1 ตัว โดยสร้างพื้นที่คอก หรือเรือนนอน ขนาด 7 ตารางเมตรต่อตัว ก็เท่ากับเป็นการใช้ที่ดิน 5 ไร่ เป็นที่ดินเกษตรกรรม โดยมีให้เห็นแล้วบนที่ดินเปล่าติดสถานีบางหว้ารถไฟฟ้าบีทีเอส นับเป็นย่านทำเลทอง เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งบีทีเอสและสายสีน้ำเงิน” ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า “แปลงสภาพที่ดินรกร้างว่างเปล่าใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ให้เข้าเกณฑ์ที่ดินเกษตรกรรม เพื่อจ่ายภาษีในอัตราที่ถูกลงจาก 0.3% เหลือ 0.01%”

 

 

            จากข้อมูลของกรมธนารักษ์ระบุว่าที่ดินแปลงดังกล่าว มีขนาด 1,321 ตารางวา มีราคาประเมินราชการอยู่ที่ 13,000 บาทต่อตารางวา หรือเป็นเงินรวม 17.173 ล้านบาท เมื่อเสียภาษีในเกณฑ์เกษตรกรรมที่ 0.01% ก็เป็นเงินเพียง 1,717.3 บาทต่อปี หรือเดือนละ 143.1 บาท ซึ่งต่ำกว่าค่าส่วนกลางในห้องชุดที่ประมาณ 40 บาทต่อตารางเมตร หรือเป็นเงินเดือนละประมาณ 1,200 บาท  กรณีนี้จึงถือเป็นการเอาเปรียบสังคมประการหนึ่ง

            ยิ่งถ้าหากพิจารณาจากราคาตลาด ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยประเมินไว้ว่าที่ดินติดถนนเพชรเกษตรตรงสถานีรถไฟฟ้าบางหว้า น่าจะเป็นเงินตารางวาละ 350,000 บาท แต่ที่ดินแปลงนี้ไม่ติดถนนและตาบอด หากซื้อมารวมเพื่อพัฒนาที่ดิน ก็น่าจะเป็นเงินตารางวาละ 100,000 บาทตามราคาตลาด หรือเท่ากับเจ้าของที่ดินถือครองที่ดินไว้เป็นเงินประมาณ 132.1 ล้านบาท แต่เสียภาษีเพียงเดือนละ 143.1 บาท หรือปีละ 1,717.3 บาท หรือเท่ากับ 0.0013% เท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมาก

            ทางออกสำคัญประการหนึ่งก็คือการจัดเก็บภาษีตามราคาตลาด ไม่ใช่ราคาประเมินราชการ แต่ถ้าหากเกรงประชาชนจะเดือดร้อน ก็น่าจะลดอัตราภาษี เช่น เหลือ 0.1% ของมูลค่าตลาดทั้งนี้ไม่คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ เช่น ผู้ใดมีห้องชุดราคาถูกเพียง 500,000 บาท ก็เสียภาษีเพียง 500 บาท หรือเดือนละ  41.7 บาท ซึ่งไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร แม้แต่รถจักรยานยนต์ ที่ไปต่อทะเบียนทุกปี ก็ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ประมาณเกือบ 500 บาท จากราคารถเก่าที่ 50,000 บาท หรือราว 1% ซึ่งก็ไม่มีใครบ่นว่าภาษีสูงเกินไป  แม้แต่ชาวนาชาวไร่ที่มีที่ดิน 15 ไร่ๆ ละ 100,000 บาท ก็เป็นเงิน 1.5 ล้านบาท หากต้องเสียภาษี 0.1% ก็เป็นเงินเพียงปีละ  1,500 บาท หรือเดือนละ 125 บาทเท่านั้น

            แต่ในทางตรงกันข้ามผู้ที่มีที่ดิน 1,000 ล้านบาทตามราคาตลาด การเสียภาษี 0.1% ก็อาจเป็นเงิน 1 ล้านบาท บางท่านอาจมองว่าเป็นเงินจำนวนมาก  เอาเงิน 1 ล้านบาทไป “เสพสุข” น่าจะได้ประโยชน์กว่าการเสียภาษี แต่เมื่อเทียบภาษีที่พึงเสียกับราคาทรัพย์แล้วก็ถือว่าต่ำมาก  ถ้าใครไม่มีรายได้พอที่จะจ่ายภาษี  แต่มีที่ดินหรือทรัพย์สมบัติราคาถึง 1,000 ล้านบาท ก็ควรขายบางส่วนหรือขายทั้งหมดเพื่อนำเงินมาเสียภาษี ซึ่งยังจะได้เงินไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่เอาเปรียบสังคม

 

 

อ่าน 1,334 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved