ประยุทธ์พัฒนาเศรษฐกิจดีกว่าจริงหรือ
  AREA แถลง ฉบับที่ 114/2566: วันพฤหัสบดีที่ 09 กุมภาพันธ์ 2566

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            มีบางคนบอกว่าขนาดเศรษฐกิจของไทยในยุคนี้ใหญ่กว่ายุคทักษิณถึง 4 เท่า แสดงว่าประเทศไทยเจริญขึ้นมาก แต่ทำไมคนจนจึงเพิ่มขึ้นมหาศาล แล้วประเทศอื่นในอาเซียนเป็นอย่างไร ท่านทราบหรือไม่  ภายในปี 2584 เวียดนามจะแซงไทยแล้ว

 

ตารางที่ 1: การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย ปี 2545-2564

รายการ

                 ตัวเลข

รายได้ประชาชาติ (GDP) ปี 2545 (USD)

     134,300,851,255

รายได้ประชาชาติ (GDP) ปี 2557 (USD)

     407,339,454,061

รายได้ประชาชาติ (GDP) ปี 2564 (USD)

     505,947,037,098

การเพิ่มขึ้นของ GDP ปี 2545-2564 (เท่า)

                 3.8

การเพิ่มขึ้นของ GDP ปี 2545-2557 (เท่า)

                 3.0

การเพิ่มขึ้นของ GDP ปี 2557-2564 (เท่า)

                 1.2

อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2545-2564/ปี

   7.2%

อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2545-2557/ปี

   9.7%

อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2557-2564/ปี

   3.1%

ที่มา: ธนาคารโลก (ตัวเลขเป็น current value)   https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD     

 

            ถ้าพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจของไทยในปี 2545 (สมัยทักษิณ) รายได้ประชาชาติ (GDP) ของไทยอยู่ที่ 134.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่มาในปี 2564 (สมัยประยุทธ์) กลับเพิ่มเป็น 505.9 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือเติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า (3.8 เท่า) ทั้งนี้ตามตัวเลขรายได้ตลาด (ยังไม่หักเงินเฟ้อ) ของธนาคารโลก นี่แสดงว่าไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจใช่หรือไม่  แต่หลายคนก็สงสัยว่า ถ้าประสบความสำเร็จจริง ทำไมประเทศไทยจึงมีคนจนที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ‘คลัง’ เปิดตัวเลขลงทะเบียน ‘บัตรสวัสดิการฯ’ รอบใหม่ 22 ล้านคน” (https://bit.ly/3iEYxlh) หรือราวหนึ่งในสามของประชากรไทยเข้าไปแล้ว

            อันที่จริงตัวเลขรายได้ประชาชาติข้างต้นอาจมีรายละเอียดที่ต้องเข้าใจเพิ่มเติม นั่นก็คือ รายได้ประชาชาติในปี 2557 (ถึงปีรัฐประหาร) สูงถึง 407.3 พันล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปแล้ว แสดงว่าในช่วงปี 2545-2557 ประเทศไทยรวยขึ้นถึง 3 เท่า  แต่ในช่วงปี 2557-2564 (ยุคประยุทธ์) รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นอีกเพียง 20% หรือเท่ากับช่วง 7 ปีนี้ อัตราการเติบโตของ GDP เพิ่มขึ้นเพียง 3.1% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า (ปี 2545-2554) ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 9.7% (ตัวเลขเหล่านี้อาจดูสูงเพราะไม่ได้ทอนเงินเฟ้อ)

 

ตารางที่ 2: อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2557-2564                  

อันดับที่

ประเทศ

          %

1

กัมพูชา

7.1%

2

เวียดนาม

6.6%

3

ลาว

5.1%

4

อินโดนีเซีย

4.2%

5

ฟิลิปปินส์

4.1%

6

สิงคโปร์

3.4%

7

ไทย

3.1%

8

มาเลเซีย

1.4%

9

เมียนมา

0.4%

10

บรูไน

-2.8%

 

            เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่มี 10 ประเทศ จะเห็นได้ว่าในช่วงล่าสุด (ปี 2557-2564) อัตราการเติบโตที่ 3.1% ของไทยเป็นแค่อันดับที่ 7 หรือค่อนข้างจะ “รองบ่อน” โดยมีกัมพูชา เวียดนาม และลาวนำโด่งสุด  กรณีนี้บางท่านอาจแย้งว่าก็ประเทศเหล่านี้ล้าหลังกว่าไทยจึงอาจจะ “ก้าวกระโดด” กว่าไทยได้  อย่างไรก็ตามประเทศที่ใกล้เคียงกับไทย เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็ยังนำหน้าไทย และประเทศที่เจริญกว่าไทยคือสิงคโปร์ ก็มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยที่สูงกว่าไทยเช่นกัน  มีเพียงมาเลเซีย เมียนมา (ที่ถูกรัฐประหาร) และบรูไนที่เศรษฐกิจไม่ค่อยกระเตื้องเท่านั้น

 

ตารางที่ 3: ขนาดเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียน (ราคาตลาด)

อันดับ

ประเทศ

มูลค่า (เหรียญสหรัฐ)

เทียบไทย

1

   อินโดนีเซีย

1,186,092,991,320

234%

2

   ไทย

505,947,037,098

100%

3

   สิงคโปร์

396,986,899,888

      78%

4

   ฟิลิปปินส์

394,086,401,171

      78%

5

   มาเลเซีย

372,980,957,208

      74%

6

   เวียดนาม

366,137,590,601

      72%

7

   เมียนมา

65,091,751,273

      13%

8

   กัมพูชา

26,961,061,120

       5%

9

   ลาว

18,827,148,510

       4%

10

   บรูไน

14,006,569,576

       3%

 

            สิ่งที่น่าสนใจอีกประกาศหนึ่งก็คือขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นใหญ่เป็นอับดับสองของอาเซียน 10 ประเทศ เพียงแต่เติบโตช้า ทั้งนี้อินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทยคือเป็น 234% ของไทย สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเกาะเล็กๆ กลับมีขนาดเศรษฐกิจถึง 78% ของไทย เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์  ส่วนมาเลเซียที่มีขนาดราวสองในสามของไทย ก็มีขนาดเศรษฐกิจถึง 74% ของไทย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กมากๆ ก็มีเพียงเมียนมา กัมพูชา ลาวและบรูไน

 

ตารางที่ 4: รายได้ประชาชาติต่อหัว (เหรียญสหรัฐ) ปี 2564

อันดับ

ประเทศ

มูลค่า (เหรียญสหรัฐ)

เทียบไทย

1

สิงคโปร์

          67,857

936%

2

บรูไน

          32,017

442%

3

มาเลเซีย

          11,524

159%

4

ไทย

          7,249

100%

5

อินโดนีเซีย

          4,336

60%

6

เวียดนาม

          3,761

52%

7

ฟิลิปปินส์

          3,596

50%

8

ลาว

          2,588

36%

9

กัมพูชา

          1,613

22%

10

เมียนมา

          1,196

17%

 

            เมื่อเจาะลึกลงมาดูถึงรายได้ประชาชาติต่อหัว จะเห็นได้ว่าสิงคโปร์มาเป็นอันดับที่ 1 คือโดยเฉลี่ยประชากรสิงคโปร์มีรายได้ 67,857 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือเทียบเท่า 936% ของไทย แสดงว่าชาวสิงคโปร์รวยเท่ากับ 9 เท่าของไทย  ความรวยของสิงคโปร์ในรูปการนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเมื่อ 30 ปีก่อน อาจอยู่ที่  4 เท่า แต่ขณะนี้พุ่งทะยานสูงมาก  บรูไนก็รวยเท่ากับ 4 เท่าของไทย (442%) ทั้งนี้เพราะประเทศนี้มีประชากรเพียง 4 แสนเศษเท่านั้น ในขณะที่อินโดนีเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ มีรายได้พอๆ กับแค่ครึ่งหนึ่งของไทยเท่านั้น ในขณะที่ประชาชนชาวลาว กัมพูชาและเมียนมาจนมาก

            จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ประเทศที่นักลงทุนไทยน่าลงทุนมากๆ ในขณะนี้ก็คือ อินโดนีเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ รวมทั้งประเทศที่ยังห่างชั้นไทยอยู่มากก็คือกัมพูชา ยกเว้นลาวที่มีประชากรผู้บริโภคน้อย และเมียนมาที่มีแต่ผู้ที่คิดจะถอนการลงทุนเพราะรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2564  นักลงทุนหลายประเทศต่างหยุดหรือขายกิจการในเมียนมาในขณะนี้  ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินก็มีโอกาสไปประเมินค่าโรงงานต่างๆ ในเมียนมา เพราะนักลงทุนต่างชาติตัดสินใจถอนตัว

            สิ่งที่น่าห่วงอย่างหนึ่งก็คือ จะมีประเทศไทยที่จะแซงไทยในอนาคตหรือไม่   ที่ผ่านมา ไทยก็ถูกแซงไปมากแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ ณ พ.ศ.2584 หรือ 18 ปีนับจากปี 2566 นี้ เวียดนามจะแซงไทยแล้ว  ทั้งนี้ ณ ปี 2564 ไทยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวอยู่ที่ 7,249 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เวียดนามมีรายได้อยู่ที่ 3,761 เหรียญสหรัฐ หรือเพียง 52% ของไทยเท่านั้น  แต่ถ้าเวียดนามยังเติบโต 6.6% ต่อปี ในขณะที่ไทยเติบโตที่ 3.1% ต่อปี ภายในปี 2584 รายได้ประชาชาติต่อหัวของเวียดนามจะขึ้นแซงไทย  ถ้าเวียดนามแซงไทยได้ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ก็จะ “หายใจรดต้นคอ” ของไทยต่อไป

            แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตไม่มาก  แต่ตลาดที่อยู่อาศัยหลังยุคโควิด-19 ก็ฟื้นแล้ว โดยไม่ได้พึ่งการขายบ้านหรือขายที่ดินให้ต่างชาติ  จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (area.co.th) พบว่าในปี 2565 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแตะระดับเดียวกับปี 2562 (ก่อนโควิด-19) ที่ 115,000 หน่วยต่อปี ทั้งนี้ในปี 2563 การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเหลือ 73,000 หน่วยและในปี 2564 เหลือ 60,000 หน่วยเท่านั้น แสดงว่าตลาดที่อยู่อาศัยกลับสู่ภาวะปกติโดยที่ไม่ได้อาศัยกำลังซื้อของต่างชาติเป็นหลักเลย  และเชื่อว่าในปี 2566 นี้ การเติบโตของตลาดจะเพิ่มขึ้นอีก 8-12%

            สิ่งสำคัญที่ไทยพึงดำเนินการก็คือการเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อหนีคู่แข่งด่วน!

 

 

อ่าน 1,151 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved