จากการสำรวจรอบล่าสุด ณ สิ้นปี 2556 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยที่หยุดขายไป 101 โครงการ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร ตลาดเสื่อมทรุดลงหรือไม่
          ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่าโครงการ 101 แห่งที่หยุดขายไปเหล่านี้ มีจำนวน 24,223 หน่วย รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 58,402 ล้านบาท  ซึ่งถือว่ามีเพิ่มมากกว่าในช่วงกลางปี พ.ศ.2556 หรือ 6 เดือนก่อนหน้านี้ซึ่งมี 89 โครงการ รวม 18,404 หน่วย รวมมูลค่า 45,810 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 12 โครงการ (13%) เพิ่มขึ้น 5,819 หน่วย (32%) หรือเพิ่มขึ้น 12,593 ล้านบาท (27%)

          ในจำนวน 101 โครงการนี้ ปัญหาหลักของโครงการเหล่านี้ก็คือสถาบันการเงินไม่อำนวยสินเชื่อ มีถึง 31% โครงการ และที่เกี่ยวเนื่องกันก็คือ ขายไม่ออก ไม่มีผู้ซื้อ รูปแบบสินค้าไม่เหมาะสม อีก 24% แสดงว่าโครงการเหล่านี้คงขาดความเป็นไปได้ทางการเงิน และความเป็นไปได้ทางการตลาดเป็นสำคัญ จนสถาบันการเงินไม่อาจที่จะอำนวยสินเชื่อให้ กระทั่งโครงการต้องปิดตัวลงในที่สุด
          ส่วนสาเหตุที่ใกล้เคียงกันอีกส่วนหนึ่งก็ได้แก่ ทำเลที่ตั้งไม่เหมาะสม 9% ปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทางเข้าออก หรือมีกระทั่งโครงการที่ถูกเวนคืน รวมอีก 5% มีโครงการอยู่ 3 แห่งยังปิดตัวหลังจากถูกน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ.2554 เจ้าของโครงการอาจยังถอดใจอยู่แม้น้ำท่วมได้ผ่านมา 2 ปีแล้วก็ตาม นอกจากนี้ปัญหาการรุมเร้าของการก่อสร้างด้านการขาดแคลนแรงงาน ยังทำให้ขาดผู้รับเหมา ขาดแรงงานก่อสร้างอีก 2 โครงการอีกด้วย
          ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ การที่โครงการไม่ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จึงไม่อาจขายได้ถึง 16% จนต้องคืนเงินลูกค้าไป การนี้แสดงให้เห็นถึงการทำการขายก่อนการได้รับอนุญาต ซึ่งมักเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่นอนและการขาดหลักประกันเป็นอย่างยิ่งต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัย แสดงว่าในแวดวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้คำนึงถึงผู้บริโภคเป็นที่ตั้งเท่าที่ควร ทำให้เกิดปัญหาความเชื่อมั่นต่อตลาดที่อยู่อาศัยในขณะนี้
          อาจกล่าวได้ว่า แม้จำนวนโครงการที่ล้มเลิกไปยังมีจำนวนไม่มาก ยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่ก็แสดงให้เห็นว่า แนวทางสำคัญในการสนับสนุนตลาดที่อยู่อาศัย สนับสนุนการมีบ้านอยู่อาศัยของประชาชนนั้น คงไม่ได้อยู่ที่การส่งเสริมการซื้อ-ขายเป็นสำคัญ แต่อยู่ที่การสร้างหลักประกันที่ดีให้กับผู้ซื้อ เช่น หากโครงการใดไม่สามารถสร้างเสร็จได้ตามที่กำหนด ก็จะต้องคืนเงินดาวน์แก่ผู้บริโภค