ผมกับศรีภริยาไปฝรั่งเศสและอิตาลีราว 10 วันด้วยงบประมาณถูกมากๆ รวมกันคนละแค่ 70,000 บาท ไม่กล้าใช้มาก เกรงใจน้ำพักน้ำแรงที่หาเงินมาได้
ในระหว่างวันที่ 13-24 มีนาคม 2566 ผมกับศรีภริยา เดินทางไปประชุมที่ฝรั่งเศสในช่วงวันที่ 14-16 มีนาคม และวันที่ 16-23 มีนาคม ก็ ‘ตะลอน’ ทัวร์อยู่ในอิตาลี โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก ทั้งค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก และค่าอาหาร
ค่าเครื่องบินก็คนละราว 40,000 บาท ชั้นธุรกิจหรือชั้น 1 ไม่นั่ง (ยกเว้นที่มีเจ้าภาพเชิญไปเป็นวิทยากร) ชั้นประหยัดแบบการบินไทยที่บินตรง ก็ยังแพง เลยเลือกสายการบินเอมิเรตต์ที่ต้องเสียเวลาต่อเครื่อง ทนหน่อย ไม่นั่งแบบ Non-stop ขนาดชั้นประหยัดแบบพรีเมียม ยืดแข้งขาได้มากหน่อย ภริยาและผมก็ยังไม่ยอมเสียเงิน ถ้ามีตั๋วยืนไปตลอดสิบกว่าชั่วโมง ผมโดยส่วนตัวคนเดียวก็ยอม เสียดายไม่มีตั๋วยืน
สำหรับโรงแรม ก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าในยุโรปโรงแรมราคาแพง ระดับ 4 ดาวบ้านเรา ราคาก็เป็นหมื่นบาท ซึ่งความจริงก็ใช้เป็นที่ ‘ซุกหัวนอน’ เท่านั้น วันๆ ก็ต้องตระเวนออกไปข้างนอก ผมสองคนจึงเลือกพักแบบ 2-3 ดาว ราคาประมาณ 3,000 บาทโดยเฉลี่ย ห้องอาจเล็กแคบ ไม่หรูหรา ก็ไม่เป็นไร พวกเราพยายามเลือกที่ปลอดภัย (แต่บางที่ภาพอาจ ‘ไม่ตรงปก’ ต้องเสี่ยงดวงเหมือนกัน) และใกล้สถานีรถไฟหลักของแต่ละเมืองเพราะผมเดินทางผ่านเมืองต่างๆ ด้วยรถไฟ ซึ่งสะดวก ปลอดภัยและประหยัดที่สุด ออกจากสถานีรถไฟ ก็เดินตรงถึงโรงแรมเลย ไม่ต้องขึ้นรถต่ออีก
มายุโรป ในแต่ละเมืองก็จะมีร้านอาหารดังที่อร่อย บางร้านก็ตั้งมานับร้อยๆ ปี บรรยากาศและการตกแต่งดี ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ต้องไป ‘เช็คอิน’ เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก เอามาอวดกัน หลายร้านก็มักมีราคาแพง แถมยังต้องต่อคิวยาว ผมจึงไม่มองพวกร้านอาหารเหล่านี้เลย ในโรงแรมที่ผมพัก บางแห่งก็แถมอาหารเช้า แต่ถ้าเลือกได้ผมจะเลือกแบบไม่มีอาหารเช้า โดยผมก็ซื้อทานเอง ส่วนอาหารกลางวันบางมื้อก็ทานเรื่อยเปื่อยไปโดยเฉพาะร้านอาหารจีนซึ่งมักมีราคาถูกและอร่อยดี มื้อค่ำก็มีของในซูเปอร์มาร์เก็ตมากมายให้เลือก บางวันก็งด (เผื่อจะไม่อ้วนไปกว่านี้)
วัตถุประสงค์หลักในการมายุโรปครั้งนี้ก็เพื่อมาเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ดูเมือง พบปะทางธุรกิจ จึงไม่เน้นทานหรู นอนหรู และที่สำคัญ ผมไม่ใช่ข้าราชการที่สามารถเบิกค่าเครื่องบินชั้นธุรกิจ หรือเบิกค่าที่พักหรูๆ ได้ แม้จะพอมีปัญญาอยู่แบบ ‘กินหรู-อยู่สบาย’ ก็รู้สึกเสียดายเงิน
ผมพักที่เมืองนีซ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวในฝรั่งเศส แต่ไปประชุมที่เมืองคานส์ ก็นั่งรถไฟไป จากนั้นก็เดินทางเข้าอิตาลีโดยพักที่เมืองมิลาน 1 คืน พักที่เมืองเวนิส 1 คืน พักที่เมืองฟลอเรนซ์ 1 คืนไปเมืองปิซา ดูหอเอนแต่ไม่ค้างคืน และพักกรุงโรม 3 คืน ครั้งแรกว่าจะไปดูเมืองปอมเปอีที่ถูกเถ้าถ่านจากภูเขาไฟวิสุเวียสฝังไป แต่พอดีภริยาไม่อยากไปดูเจาะลึกขนาดนั้น
ค่าใช้จ่ายหลักอีกอย่างหนึ่งจึงเป็นค่าเดินทาง โดยไปแต่ละเมือง ก็เสียค่าเดินทางโดยเฉลี่ย ราว 1,000 บาทต่อคน ค่าใช้จ่ายนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ และถือว่าถูกที่สุดแล้ว ส่วนการชมโบราณสถานในแต่ละแห่ง ก็เดินเท้าเอา หรือนั่งรถไฟใต้ดินหรือรถประจำทางโดยใช้ตั๋วร่วมได้ ไม่เคยใช้แท็กซี่เลย
ค่าเข้าชมต่างๆ ก็ต้องเสีย เช่น ค่านั่งเรือกอนโดลา สนนราคาลำละประมาณ 3,000 บาท สำหรับสองคน หรือค่าเข้าชมสถานที่บางแห่ง แต่สถานที่หลักๆ ผมไม่ได้เข้าชมเพราะเวลามีน้อย เลยถ่ายรูปอยู่ข้างนอก อย่างโคลอสเซียม (สนามกีฬาทารุณคนและสัตว์ในสมัยโรมัน) ก็ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ เป็นต้น นครวาติกันก็เช่นกัน ค่าเข้าชมไม่แพง แต่คิวรอยาวราว 2-3 ชั่วโมง แล้วเข้าไปชมอีก 2-3 ชั่วโมงก็แทบจะหมดวัน
โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายทริปนี้แบ่งเป็น
1. ค่าตั๋วเครื่องบินคนละประมาณ 40,000 บาท
2. ค่าที่พัก 8 คืนๆ ละ 1,500 บาทต่อคน ก็ราว 12,000 บาท
3. ค่าเดินทางภาคพื้นดินประมาณ 6,000 บาท
4. ค่าอาหารคนละประมาณ 5,000 บาท
5. ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ 6,000 บาท
รวมทั้งหมดก็ราว 69,000 บาท หรือ 70,000 บาท โชคดีที่มีบัตรเข้าเลาจน์ในสนามบินต่างๆ ระหว่างรอเครื่อง ก็เลยไม่เสียค่าอาหารพิเศษใดๆ แถมได้นั่ง นอน และอาบน้ำระหว่างเปลี่ยนเครื่องฟรี
ที่ผมเลือกไปอิตาลีก็เพราะมีประวัติศาสตร์มากมายให้ศึกษา และตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเลย งานประชุมสัมมนาใหญ่ๆ ไม่ค่อยได้จัดที่นี่ ไม่เคยซื้อทัวร์ซึ่งคงเป็นเงินแสนกว่าบาทสำหรับการพัก 8 คืนแบบนี้ แต่ตอนแรก ผมก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่า อิตาลีมีชื่อกระฉ่อนเรื่องปล้นจี้ ฉกชิงวิ่งราว แต่ก็กลับปลอดภัย ไม่มีแก๊งใดๆ มากล้ำกรายเลย ทั้งนี้คงมีการปราบปรามและมีตำรวจเฝ้าตามจุดต่างๆ ตลอด
ตอยนี้ที่อิตาลีมีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่มากมายจริงๆ แต่ส่วนมากคงมาจากประเทศในยุโรปและอเมริกา ทัวร์จีนก็มี แต่บางตา ที่สำคัญ ผมพบนักท่องเที่ยวคนไทยน้อยมาก คนไทยยังอาจท่องเที่ยวอยู่ในทวีปเอเซียเป็นหลัก และอาจกลัวอิตาลีในด้านความปลอดภัยตามคำร่ำลือก็ได้
ผมดีใจที่ผมได้พาศรีภริยาไปประชุมและไปเที่ยวเล่น ได้ความรู้และประสบการณ์กันอย่างประหยัด ‘พอเพียง’ แบบนี้