ในเดือนมีนาคม 2566 ปรากฏว่า มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งหมด 40 โครงการ ซึ่งมีจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่รวม 9,052 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 33,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนๆ

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส สรุปว่าในเดือนมีนาคม 2566 อสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีการเปิดตัวค่อนข้างคึกคัก  โดยมีโครงการเปิดขายใหม่รวม 40 โครงการ ซึ่งมากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจำนวน 12 โครงการ  อีกทั้งจำนวนหน่วยขาย มูลค่าโครงการก็เพิ่มตาม แต่ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยกลับลดลง เนื่องจากสินค้าที่เปิดขายใหม่ในเดือนนี้ส่วนใหญ่เป็นอาคารชุดราคาค่อนข้างถูก  โดยลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งหมด 40 โครงการ ซึ่งมีจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่รวม 9,052 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 33,050 ล้านบาท

            จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 9,025 หน่วย เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 4,443 หน่วย (เดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีจำนวน 4,582 หน่วย) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ -97% เนื่องจากการหน่วยขายที่เปิดขายเดือนนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 65 ของจำนวนหน่วยขายเป็นการพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพัฒนาสินค้าส่วนใหญ่เป็นอาคารชุดราคาปานกลางค่อนข้างถูก จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยถูกลง

            ประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดในเดือนนี้ยังคงเป็นอาคาร โดยมีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ 3,761 หน่วย (32.5%) รองลงมา คือ ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 3,443 หน่วย (26.7%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านแฝด จำนวน 856 หน่วย (9.5%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบจำนวนหน่วยขายของที่อยู่อาศัยหลัก ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด กับเดือนที่ผ่านมา จะพบว่า จำนวนหน่วยขายของอาคารชุดและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น แต่บ้านเดี่ยวกลับลดลงเล็กน้อย โดยอาคารชุดเพิ่มขึ้นจำนวน 1,956 หน่วย (108.4%) ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 2,817 หน่วย (450%) ส่วนบ้านเดี่ยวลดลงจำนวน 39 หน่วย (-4.7%)

            ทำเลที่มีการเปิดขายใหม่ สำหรับอาคารชุดที่เปิดขายจะตั้งอยู่ในบริเวณย่านนอกเมืองตามแนวสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง เช่นย่านรังสิต และสายสีชมพู เช่น ย่านรามอินทรา ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการเปิดใหม่จะตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ส่วนต่อขยายเมือง เช่น ศรีนครินทร์ เทพารักษ์ ประชาอุทิศ รัตนาธิเบศร์ และยังมีพื้นรอบนอก เช่น รังสิต ลำลูกกา สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เป็นต้น

            ภาพรวมโครงการที่เปิดขายใหม่ในเดือนนี้จะมีจำนวนโครงการจำนวนหน่วยขายและมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่ราคาถูกลง เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่เป็นระดับราคาปานกลางค่อนข้างต่ำเป็นสำคัญ ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง ประมาณ -26.6% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของเดือนก่อน โดยราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 3.662 ล้านบาท แต่เดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 5.000 ล้านบาท ซึ่งในเดือนนี้แสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยปานกลาง-ระดับล่าง ที่มีทำเลส่วนต่อขยายเมืองและออกนอกเมืองมากขึ้น และเน้นกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางทีซื้อเพื่อการอยู่อาศัย เป็นสำคัญ

            ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 13 บริษัท คือ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลลิลพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วังทองกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พราวด์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือและบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง หากเปรียบเทียบการพัฒนาระหว่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทในเครือ และบริษัททั่วไป

            หากจัดอันดับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุด 5 อันดับ ดังนี้

            ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยคาดว่าการเปิดตัวใหม่ในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นกว่าปี 2565 ประมาณ 5-10% โดยเฉลี่ย