รูปน้ำป่าไหลหลาก
ตามที่มักมีข่าวว่าเขื่อนเก็บน้ำได้ชั่วคราว แต่ป่าเก็บน้ำได้ถาวร คำพูดนี้ดูเหมือนถูก แต่ความจริงแล้วผิดถนัด เราจึงรณรงค์สร้างเขื่อนแม่วงก์
ความจริงคือเขื่อนเป็นที่เก็บน้ำถาวร อายุขัยยาวนานจนลืมไปเลย ส่วนป่าไม่สามารถเก็บน้ำได้มาก หาไม่จะมีปรากฏการณ์น้ำป่าไหลหลากทั้งที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าในบริเวณใกล้เคียงหรือ อย่าให้ใครบิดเบือน ประเทศพึงสร้างเขื่อนแม่วงก์ เพื่อชีวิตสัตว์ ป่า และประชาชนคนเล็กคนน้อย สัตว์ป่า จะมีน้ำดื่มกิน มีแนวเขื่อนป้องกันคนล่า ขยายพันธุ์ได้เพิ่ม ป่าไม้ จะชุ่มชื้น ป่าจะรกชัชขึ้น มีน้ำไว้ดับไฟป่าปีละนับร้อยครั้ง ประชาชนคนเล็กคนน้อย จะได้ป้องกันน้ำท่วม ชลประทาน ผลิตไฟฟ้า ประมง ท่องเที่ยว ฯลฯ เป็นประโยชน์เอนกอนันต์
เสียป่าเสื่อมโทรมที่เพิ่งฟื้นใหม่ขนาดแค่ 2 เท่าของเขตสาทร เขตกระจิดริดของ กทม แต่จะยังประโยชน์มหาศาล อย่าให้ใคร Drama ลวงห้ามสร้างเขื่อน ที่ผ่านมาการ Drama มีมาก ขนาดนำนกยูงมาเลี้ยงเมื่อ 5 ปีก่อนเพื่อสร้างภาพแก่งลานนกยูง ให้คนหลงเสียดายป่าที่เพิ่งฟื้นฟูใหม่
ประชาชนสองในสามต้องการเขื่อน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ได้ออกสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในระหว่างวันที่ 2-3 ตุลาคม 2556 โดยเดินทางจากกรุงเทพมหานครเมื่อเช้าวันที่ 2 ตุลาคม 2556 และเริ่มสำรวจในดังกล่าวตั้งแต่เวลา 07:27 เป็นรายแรก ณ เขตอำเภอแม่วงก์ ถึงอำเภอชุมตาบง อำเภอแม่เปิน อำเภอลาดยาวทั้งในและเขตเทศบาล ไปจนถึงค่ำวันดังกล่าวสำรวจถึงเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ ส่วนวันที่ 3 ตุลาคม 2556 สำรวจในเขตอำเภอเมืองนครสวรรค์ (นอกเขตเทศบาล) และสิ้นสุดที่อำเภอโกรกพระในเวลา 13:30 น.
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน สามารถประมวลได้ดังนี้:
1. ในเบื้องต้นพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 57% ต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ 16% ยังไม่ได้ตัดสินใจ และ 27% ไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างเขื่อน
2. อย่างไรก็ตามสำหรับกลุ่มที่ยังไม่แสดงความเห็นนั้น ส่วนหนึ่งตัดสินใจแล้วแต่ยังสงวนท่าที ไม่แสดงความเห็น แต่ส่วนหนึ่งยังไม่ได้ตัดสินใจไปในทางใดทางหนึ่ง หากต้องตัดสินใจไปในทางใดทางหนึ่ง ก็คงต้องเลือกในที่สุด แต่ในเบื้องต้นนี้ หากตัดกลุ่มที่ยังไม่ได้แสดงความเห็นออก ให้เหลือเฉพาะกลุ่มที่ต้องการและไม่ต้องการเขื่อนแม่วงก์ สัดส่วนจะเป็น 69% และ 31%ตามลำดับ หรือมีสัดส่วนเท่ากับ 2:1 หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าประชาชนประมาณสองในสามเห็นควรสร้างเขื่อนแม่วงก์
3. จากสถิติของทางราชการพบว่า ประชาชนในเขตอำเภอทั้ง 6 แยกเป็น 8 ท้องถิ่นนั้น มีอยู่รวมกัน 458,834 คน โดยเป็นประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปแล้ว 344,736 คน หรือ 75.1% ของทั้งหมด ประชาชนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ถือได้ว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว มีวิจารณญาณในการตัดสินใจต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้
4. เมื่อนำสัดส่วนผู้ที่สำรวจมาวิเคราะห์จะได้ผลการสำรวจว่า มีประชาชน 197,018 คนเห็นควรให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ ที่ไม่เห็นด้วย มี 92,297 คน และยังมีผู้ที่ยังไม่แสดงความเห็น ซึ่งเป็นส่วนน้อยอยู่เพียง 55,421 คน แต่หากใช้สัดส่วนเฉพาะประชาชนผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน (69% และ 31%) มาพิจารณา จะพบว่าประชาชนที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนจะมีจำนวน 238,486 คน ส่วนที่ไม่เห็นด้วยจะมีจำนวน 106,250 คน ทั้งนี้โดยมีสมมติฐานว่ากลุ่มที่ยังไม่แสดงว่าคิดเห็นจะแสดงความเห็นไปในทางใดทางหนึ่งหากมีการลงประชามติ
5. ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า หากมีการให้ประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบ และมีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมกันลงประชามติโดยเสรี และโดยให้มีหน่วยลงประชามติที่สะดวกและทั่วถึงเช่นการเลือกตั้งทั่วไป ก็จะมีประชาชนที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนสูงถึงประมาณ 197,018 - 238,486 คน ซึ่งถือเป็นประชามติของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่นั่นเอง
6. กลุ่มประชาชนที่คัดค้านการสร้างเขื่อนส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ซึ่งไม่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรงจากปัญหาน้ำท่วมและฝนแล้ง และในเขตเทศบาลตำบลลาดยาว ซึ่งแม้มีปัญหาน้ำท่วม แต่ก็เป็นเพราะการจัดการน้ำในเขตเทศบาล ไม่เกี่ยวกับเขื่อนแม่วงก์โดยตรง อย่างไรก็ตามในเขตอื่น ๆ ประชาชนทั่วไปส่วนมากจะสนับสนุนการสร้างเขื่อน โดยท้องที่ที่สนับสนุนการก่อสร้างเขื่อนอย่างล้นหลาม ได้แก่ประชาชนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในเขตอำเภอเมือง และอำเภอลาดยาว
7. ผู้คัดค้านการสร้างเขื่อนให้เหตุผลสำคัญเกี่ยวกับความสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ความไม่เหมาะสมของสถานที่ก่อสร้างเขื่อน ความรักและสงสารสัตว์ป่า โอกาสในการทุจริตในการก่อสร้างโครงการ และการคาดการณ์ถึงความไร้ประสิทธิผลของเขื่อนที่จะสร้างขึ้น
8. สำหรับผู้สนับสนุนการก่อสร้างเขื่อนให้เหตุผลถึงการป้องกันปัญหาน้ำท่วม และการมีน้ำใช้เพื่อเกษตรกรรมในฤดูแล้ง โดยได้วิงวอนให้สังคมเห็นแก่ความทุกข์ยากของเกษตรกรมากกว่าสัตว์ป่า จะสังเกตได้ว่าผู้สนับสนุนการก่อสร้างเขื่อนจะเป็นเกษตรกรเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามเกษตรกรในบางพื้นที่ที่ไม่ได้ผลกระทบก็ไม่เห็นควรให้มีการก่อสร้างเขื่อนเช่นกัน สำหรับผู้คัดค้านส่วนมากเป็นผู้ไม่ได้มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรมหรืออยู่ในเขตเมือง เห็นว่าตัวเองไม่เดือดร้อนและเกรงกลัวการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้และสัตย์ป่าอย่างไม่มีวันกลับมา
บทวิเคราะห์กรณีสัตว์และป่า
หลายเหตุผลต่อการต่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจไปว่าการสร้างเขื่อนไม่ดี ตัวอย่างแรกก็คือ การกล่าวถึงความไร้ประสิทธิภาพของเขื่อนแม่วงก์ในทำนองว่า ""ศศิน" ชี้เขื่อนแม่วงก์ป้องน้ำท่วมกทม.ได้แค่ 1%" {1} โดยดูจากปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2554 กรณีนี้ฟังดูแล้วในเบื้องต้นอาจเห็นว่าทางราชการ "ไม่บ้าก็เมาแล้ว" ที่ยังคิดสร้างเขื่อนแม่วงก์
แต่ในความเป็นจริงอาจถือเป็นการบิดเบือนอย่างยิ่ง เพราะในปีดังกล่าว ต่อให้มีเขื่อนภูมิพลนับสิบเขื่อน ก็อาจไม่สามารถกักน้ำไว้ได้อยู่ดี เขื่อนแม่วงก์ที่มีขนาด 13,000 ไร่นี้ {2} ใหญ่เพียง 2 เท่าของเขตสาทร ซึ่งเป็นเขตขนาดเล็ก ๆ ของกรุงเทพมหานครเท่านั้น จะไปใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมของกรุงเทพมหานครได้อย่างไร แค่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และแก้ไขภัยแล้วในพื้นที่ใกล้เคียงก็นับว่ามีประสิทธิผลสูงมากแล้ว
ตัวอย่างที่สองก็คือ บอกว่าใน "พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งจำนวนมากเป็นอันดับสองของโลก" {3} ฟังดูแล้วน่าจะอนุรักษ์ไว้ ไม่ควรทำลายป่าเลย แต่ที่พูดนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ ต้องลองตรองดู เพราะพื้นที่ที่มีขนาดเพียง 2 เท่าของเขตสาทรนี้จะมีเสือพร้อมสัตว์อื่นที่พร้อมจะเป็นอาหารเสืออีกหลายเผ่าพันธุ์ได้อย่างไร คงมีแต่เสือเดินผ่านมาจากป่าดิบในบริเวณอื่น ถ้ามีเสือจริง ป่านนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้หรือชาวบ้านแถวนั้นคงถูกเสือกัดตายไปแล้ว หรือถ้ามีคนอื่นเห็นจริง ก็คงต้องรีบตามล่ากันจ้าละหวั่นเหมือนที่เคยมีในบริเวณอื่นแล้ว {4} เพราะรอบ ๆ พื้นที่ชายป่าที่เรียกว่า "แม่วงก์" นี้ มีหมู่บ้านชาวบ้าน รีสอร์ต ฯลฯ เกิดขึ้นเต็มไปหมด ป่านนี้แต่ละบ้านคงได้แต่นั่งสวดมนต์แล้ว
ตัวอย่างที่สามคือเรื่องคลองส่งน้ำที่มัก "ขู่" ชาวบ้านว่า ขนาดที่ดินที่จะใช้จะใหญ่กว่าเขื่อนเสียอีก {5} อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดินจากการเวนคืน ข้อนี้ในความเป็นจริง ในพื้นที่นี้มีคลองธรรมชาติขนาดเล็ก ๆ เป็นหลัก และมักถูกรุก ไม่มีแม่น้ำ ทำให้การระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมและการชลประทานมีจำกัด ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างคลองใหม่ (ตามข้อเสนอของชาวบ้านในพื้นที่) เพราะลำพังคลองธรรมชาติไม่มีประสิทธิผลพอ แม้ไม่มีเขื่อนก็ยังต้องมีการก่อสร้างคูคลองระบายน้ำและการชลประทานอยู่ดี
ตัวอย่างที่สี่คือเรื่องทุจริต มักมีการกล่าวอ้างกันเสมอว่าจะมีการทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ ของการก่อสร้างเขื่อน {6} เพื่อต่อต้านการก่อสร้างเขื่อน ข้อหาทุจริตเป็นข้อหาครอบจักรวาลที่สุดแท้จะ "ป้ายสี" แก่อีกฝ่ายหนึ่ง หากต้องการแก้ปัญหาทุจริต ก็ต้องตรวจสอบในขั้นตอนต่าง ๆ หาไม่คงไม่ต้องทำโครงการใด ๆ สิ่งที่เอ็นจีโอทำได้ก็คือควรมีการรณรงค์การตรวจสอบการตัดไม้ในระหว่างการสร้างเขื่อนและมีหน่วยอาสาสมัครคอยพิทักษ์สัตว์
ข้อถกเถียงเรื่องสภาพป่า
หลายคนเห็นป่า ณ สถานที่ก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์แล้วเสียดาย ไม่อยากให้ตัดทิ้งไปสร้างเขื่อน แต่ความจริงก็คือป่านี้เพิ่งสร้างขึ้นมาเพื่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั่นเอง ถ้าสร้างเขื่อนก็ควรสร้างป่าทดแทนความสูญเสียนี้
มักเป็นความเข้าใจผิดว่าพื้นที่ก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์มีสภาพเป็นป่าดงดิบ แต่เป็นป่าปลูกใหม่ที่เกิดขึ้นจากการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมหลังจากเป็นเขตอุทยานฯ {7} ในโครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)ฯ ระบุว่า เป็นป่าเต็งรัง 33% ป่าไผ่ 9% ป่าไม้เบญจพรรณ 51% ที่รกร้าง 5% และแหล่งน้ำ 2% {8} นายวีระกร คำประกอบ อดีต ส.ส.นครสวรรค์กล่าวว่า "ข้อเท็จจริงมันเป็นป่าเสื่อมโทรมที่มีชนกลุ่มน้อยบุกรุกทำลายป่ามาแล้วเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา จึงไม่มีต้นไม้ใหญ่หลงเหลืออยู่มากนัก" {9}
เขื่อนแม่วงก์เริ่มคิดมานาน JICA ก็ทำการศึกษาจนปี พ.ศ.2532 คณะรัฐมนตรีจึงให้ศึกษา EIA {10} แต่ในระหว่างนั้น ทางราชการก็ฟื้นฟูต้นไม้ในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมนี้ แต่ในปัจจุบันต้นไม้ส่วนมากก็ยังมีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง (DBH) เพียง 10-30 ซม.เท่านั้น การที่ DBH เล็ก แสดงว่าอายุน้อย เช่น ในเขตป่าทั่วไป กระถินเทพา อายุ 8 ปี DBH 15.8 ซม. หนามหัน อายุ 18 ปี DBH 18.1ซม. ไม้สัก อายุ 8 ปี DBH 10.5 ซม. {11} ไม้สักอายุ 14 และ 20 ปีมี DBH 21 ซม และ 33.5 ซม. ตามลำดับ {12}
สาธารณชนจึงควรมองเห็นภาพเชิงซ้อน/ซ่อนเร้นให้ชัดว่า ในขณะที่มีการเสนอสร้างเขื่อนบนที่ป่าเสื่อมโทรมนี้ ก็มีการตั้งแง่ให้ไปศึกษาใหม่ไม่จบสิ้น เช่น พอจะสร้างเขื่อนในปี พ.ศ.2525 ก็ปรากฏว่า
พ.ศ.2532 ให้ไปศึกษา EIA
พ.ศ.2537 ให้ไปศึกษาทางเลือกพื้นอื่น เช่น เขาชนกัน
พ.ศ.2541 ให้ทำประชาพิจารณ์
พ.ศ.2546 ให้ศึกษาการจัดการลุ่มน้ำแทนการสร้างเขื่อน
พ.ศ.2556 ก็อ้างว่าต้นไม้ในป่าเสื่อมโทรมแม่วงก์ที่จะเอามาสร้างเขื่อน ที่ทั้งปลูกทั้งฟื้นฟูมามีอายุ 5-18 ปีแล้ว ไม่ได้มีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมที่เคยมีชาวเขา 200 กว่าครัวเรือนอยู่แล้ว ห้ามสร้างเขื่อนอีก {3}
หากมีความจำเป็นต้องตัดต้นไม้อายุสิบกว่าปีนี้เพื่อสร้างเขื่อน รายงาน EIA ก็ระบุชัดว่า ไม้มีมูลค่า 1,073 ล้านบาท รวมทั้งปริมาณธาตุอาหารพืช 11.71 ล้านบาทต่อปี {13} ซึ่งก็ยังดีกว่าการไปเวนคืนที่ดินนับหมื่นไร่ กระทบต่อชาวบ้านนับพันๆ ครอบครัวในบริเวณอื่น ยิ่งกว่านั้นเราสามารถนำเงินจำนวนนี้มาชดเชยเพื่อลดค่าก่อสร้างเขื่อน
ส่วนการกลัวว่าจะมีพื้นที่ฟอกคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ทางราชการและชาวบ้านก็จะร่วมกันปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ใกล้เคียงอีก 3 เท่า {14} รวมทั้งการปลูกป่าเพิ่มเติมในป่าแม่วงก์และผืนป่าตะวันตกโดยรวมที่เสียหายจากการบุกรุกเป็นหย่อมๆ และไฟป่าปีละนับร้อยครั้ง ก็จะทำให้มีป่าไม้ดังเดิม ยิ่งเมื่อมีเขื่อนก็จะยิ่งมีน้ำอุดมสมบูรณ์เป็นประโยชน์ต่อป่าและสามารถใช้ดับไฟป่าได้ทันท่วงทีอีกด้วย
ประมวลผลดีผลเสียของการสร้างเขื่อน
โดยที่ประชาชนที่ให้สัมภาษณ์ บางส่วนมีความวิตกกังวลในด้านนี้ ดร.โสภณ จึงได้นำรายงาน EIA ที่อ้างถึงข้างต้นมานำเสนอ ทั้งนี้ตามรายงานฉบับเดือนกรกฎาคม 2555 ระบุข้อดีของการสร้างเขื่อนแม่วงก์ไว้ดังนี้:
1. จะทำให้มีปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำแม่วงก์เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาตรเก็บกักประมาณ 258 ล้านลบ.ม. เพื่อใช้เป็นน้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การประมงน้ำจืด รวมทั้งเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น
2. สามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่รับประโยชน์ท้ายอ่าง 10,000 ไร่ และพื้นที่ชลประทาน 291,900 ไร่ (ฤดูฝน) และในฤดูแล้ง 116,545 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 127 หมู่บ้าน 23 ตำบล 6 อำเภอ 3 จังหวัด
3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทีดินด้านการเกษตรกรรม (Cropping Intensity : CI) เพิ่มขึ้น 40%
4. การยกระดับรายได้ของเกษตร ซึ่งเกษตรสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวในฤดูฝน และเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกรวมทั้งผลผลิตพืชฤดูแล้ง
5. เพิ่มผลผลิตด้านสัตว์น้ำและการประมงน้ำจืด ประมาณปีละ 165 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมดปีละ 7.13 ล้านบาท รวมทั้งทำให้นิเวศน์ด้านท้ายน้ำในลำน้ำแม่วงก์มีความสมบูรณ์มากขึ้น
6. อ่างเก็บน้ำสามารถเป็นแหล่งน้ำเพื่อการดับไฟป่าที่มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โดยในปี พ.ศ.2542 มีไฟป่าเกิดขึ้นถึง 108 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 3,327 ไร่
7. ทำให้สมบัติของดินโดยรอบอ่างเก็บน้ำและในพื้นที่ชลประทานมีความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในฤดูแล้ง เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพืชพรรณธรรมชาติรวมทั้งพืชเกษตรกรรม
8. สัตว์ป่าจะได้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำในด้านการเป็นแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร
9. มีน้ำใช้เพื่อการชลประทานและการอุปโภคบริโภคสำหรับประชาชน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว
10. ทำให้สภาพทางสาธารณสุขและภาวะโภชนาการมีแนวโน้มดีขึ้น
ส่วนข้อเสีย มีดังนี้
1. กระทบต่อพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ประมาณ 12,300 ไร่
2. กระทบต่อที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ มว.4 (แม่เรวา) และหน่วยรักษาต้นน้ำขุนน้ำเย็น
3. กระทบไม้ใหญ่ 677,922 ต้น มูลค่าไม้ทั่งหมดประมาณ 1,073 ล้านบาท ปริมาณธาตุอาหารพืช 11.71 ล้านบาท/ปี
4. กระทบต่อแหล่งโบราณคดี 6 จุด (ในอ่างเก็บน้ำ)
5. กระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว คือ แก่งลานนกยูง แก่งท่าตาแสง และแก่งท่าตาไท
6. ชดเชยที่ดินและทรัพย์สิน เช่น ระบบคลองส่งน้ำและคลองระบายน้ำในพื้นที่ชลประทานรวม 15,742 ไร่ โดยมีผู้ถือครองที่ดินคิดเป็นมูลค่าชดเชยรวมทั้งสิ้น 801.08 ล้านบาท
ดังนั้นในเบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า การสร้างเขื่อนมีข้อดีมากกว่าข้อเสียหลายประการ แต่สิ่งที่พึงระวังก็คือจะมีแนวทางการจัดการข้อเสียอย่างไรบ้าง เช่น
1. ในข้อที่เสียป่า 12,300 ไร่นั้นเป็น 2.2% ของอุทยานฯ หรือ 0.1% ของผืนป่าตะวันตกทั้งหมด คงไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ แต่ก็ส่งผลให้เกิดแหล่งน้ำสำหรับสัตว์เพิ่มขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น อาจทำให้ป่าไม้โดยรอบหนาแน่นกว่าเดิมชดเชยส่วนที่เสียไปได้ รวมทั้งประโยชน์ที่จะตกแก่ประชาชนถึงราว 50,000 คน
2. ในส่วนของอาคารที่ทำการ ที่เป็นไม้ก็คงสามารถรื้อไปสร้างใหม่ได้ ส่วนที่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก็คงต้องสูญเสียไป แต่คงมีมูลค่าน้อย
3. ในส่วนของต้นไม้ ซึ่งก็คงซ้ำซ้อนกับข้อแรก และต้องโปร่งใสนำไม้ที่ตัดได้มาขายเพื่อลดต้นทุนให้กับโครงการ และระมัดระวังไม่ให้เงินรั่วไหล หรือมีการตัดไม้เกินจำนวน ซึ่งทางราชการต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัด และเป็นช่องทางเชิงสร้างสรรค์ของ NGOs ที่จะทำงาน "ปิดทองหลังพระ" ส่งอาสาสมัครเข้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
4. ในส่วนของแหล่งโบราณคดี 6 จุด ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีได้อย่างไรในพื้นที่ป่าแห่งนี้ แต่ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อมีการก่อสร้างทางหลวง ก็เคยมีการยกย้ายเจดีย์แล้วสร้างใหม่ข้าง ๆ ให้พ้นจากเขตทางมาแล้ว
5. ในส่วนของแก่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเดิม คงไม่เป็นปัญหานัก เพราะเมื่อมีเขื่อน ก็จะเกิดแก่ง หาดทรายและแหล่งท่องเที่ยวสวยงามใหม่ ๆ มากกว่า 3 แก่งนี้
6. ในส่วนของการชดเชย ทางราชการก็คงรวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่ในต้นทุนของโครงการไว้แล้ว และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ประเด็นเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปพึงทราบเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยวิจารณญาณ
อ้างอิง:
{1} อสังหาริมทรัพย์กับชาวเขา:
www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market104.htm และ
www.hilltribe.org/autopage/show_page.php?h=37&s_id=29&d_id=29
{2} โฉนดชุมชน: เอาสมบัติชาติให้กฎหมู่:
www.area.co.th/thai/area_announce/area_anpg.php?strquey=area_announcement229.htm
{3} ชุมชนบ้านมั่นคงอ่างทองรับสิทธิ์ใช้ที่ดินสาธารณะ ร้องขอโฉนดชุมชนเพื่อความยั่งยืน สำนักข่าวอิสรา ศุกร์ ที่ 28 กันยายน 2555
{4} 'สุขุมพันธุ์รับผลักดันสวนมักกะสัน:
www.thaipost.net/x-cite/270513/74108
{5} เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง. จากแม่วงก์ ถึงพลังหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่
www.naewna.com/politic/columnist/8993
{6} อย่าปล่อยให้ "สืบ นาคะเสถียร" ตายฟรี
www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market203.htm
{7} ประชาชนในจังหวัดนครสวรรค์ส่วนใหญ่หนุนเขื่อนแม่วงก์
www.area.co.th/thai/area_announce/area_anpg.php?strquey=area_announcement574.htm
{8} โพล'เอแบค'ชี้ กว่า 81% เห็นควรทบทวน สร้างเขื่อน'แม่วงก์'
www.thairath.co.th/content/pol/373688
{9} โปรดดู
www.greenworld.or.th/greenworld/local/1795
{1} ข่าว "ศศิน" ชี้เขื่อนแม่วงก์ป้องน้ำท่วมกทม.ได้แค่ 1% ถาม "ปลอดประสพ" หาที่ไหนปลูกป่า สำนักข่าว TNews:
http://www.tnews.co.th/html/news/70372/ศศิน-ชี้เขื่อนแม่วงก์ป้องน้ำท่วมกทมได้แค่-1-ถาม-ปลอดประสพ-หาที่ไหนปลูกป่า.html และข่าว "ศศิน" บุกสภาแจงกมธ. ยืนกรานเขื่อนแม่วงก์แก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้
www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1EY3dOelE0T0E9PQ==
{2} เขื่อนแม่วงก์:
http://th.wikipedia.org/wiki/เขื่อนแม่วงก์
{3} Clip ป่าแม่วงก์ ที่เอาสัตว์หลากหลายที่มาลง ทำให้เข้าใจว่าสัตว์เหล่านี้อยู่ที่บริเวณจะสร้างเขื่อนแม่วงก์
www.youtube.com/watch?v=ZM8ap166l-I
{4} ย้ำอีกครั้ง อย่าอ้างเสือมาลวงค้านเขื่อนแม่วงก์
www.area.co.th/thai/area_announce/area_anpg.php?strquey=area_announcement581.htm ถ้ามีเสือแถวที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์จริง ป่านนี้มีข่าวเช่นนี้แล้ว ชาวบ้านคงผวานอนไม่หลับ ออกล่าเสือ . . . ชาวบ้าน อ.ประทาย โคราช ออกไล่ล่าเสือโคร่ง หลังพบออกมาหากินในพื้นที่ (www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374306107) วอนอย่าล่า เสือ 2 ตัว หลังชาวบ้านพบใน ป่าชุมชนโป่งแดง (
http://hilight.kapook.com/view/57796?) เสือเบตง สิ้นฤทธิ์ จับตายเสือเบตง หลังตะปบชาวบ้านดับ 3 ราย (
http://hilight.kapook.com/view/79574?) ชาวบ้านขอนแก่นผวา เสือดาวบุกกินไก่ วอน จนท.เร่งล่า (
www.thairath.co.th/content/region/358936?)
{5} เขื่อนแม่วงก์ ตกลงคุ้มหรือไม่คุ้ม?:
http://www.siamensis.org/article/35988
{6} Clip ต่อต้านเขื่อนแม่วงก์
www.youtube.com/watch?v=_SJeKiYzcCU
{7} โปรดดู
www.wcsthailand.org/main/news/maewong_wildlife_recovery
{8} โครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ (EIA) โดย บริษัท ครีเอทีฟ เทคโนโลยี จำกัด เมษายน 2555 หน้า 3-162, 166-168
{9} โปรดดู
www.matichon.co.th/play_clip.php?newsid=1335505221
{10} มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร
www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=840
{11} โปรดดู
www.conference.tgo.or.th/download/2011/research/PPT/180811/J14/05_r.pdf
{12} โปรดดู
www.teak-teca.com/wp-content/uploads/2010/10/การจัดการสวนป่าไม้สักอายุ-14-ปีขึ้นไป.ppt
{13} รายงาน EIA หน้า ษษ และ ศศ
{14} โปรดดูรายงานข่าวนี้ที่
www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9560000118879
ภาพอ่างเก็บน้ำรูปหัวใจ
http://thaisocialwork.files.wordpress.com/2014/03/dam.jpg
เขื่อนรูปหัวใจ เขื่อนนี้เคยพังมาครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่ยอมแพ้ พัฒนาใหม่จนได้รับรางวัลดีเด่น ไม่ใช่งองอเท้าตามธรรมชาติอันโหดร้าย The United States Society on Dams presents Ozark Constructors with the Award of Excellence for the Taum Sauk Project
www.fredweberinc.com/news/ozark-constructors-recieves-award-of-excellence-from-asdso-/