ตามที่มีข่าวว่า “ศุภาลัยลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง” ผิดที่ไปบังวิวบ้านเรือนข้างเคียง ดร.โสภณขอตัดสินว่าไม่ผิด โปรดมาดูเดหตุผลที่ชัดเจน
1. ตามผังเมืองในปัจจุบัน ไม่ได้ห้ามการก่อสร้างอาคารสูงสำหรับที่ดินที่ตั้งโครงการนี้ กลุ่มผู้ร้องเรียนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าที่ว่างเปล่าข้างเคียง มีสิทธิตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในผังเมืองกรุงเทพมหานครที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งให้สามารถสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษได้ ถ้ากลุ่มผู้ร้องเรียนไม่เห็นชอบ ก็ควรคัดค้านตั้งแต่มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนการประกาศใช้ผังเมืองรวมแล้ว
2. การที่กลุ่มผู้เรียกร้องไม่พอใจโครงการและเรียกร้องในสิ่งที่ตนต้องการ เป็นการละเมิดสิทธิหรือรอนสิทธิของผู้อื่นหรือไม่ บริเวณใกล้เคียงทั้งถนนวงศ์สว่างและถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ก็มีโครงการอาคารชุดหลายแห่งเกิดขึ้นติดกับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและสามารถก่อสร้างได้
3. จากฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ พบว่าแต่เดิมโครงการนี้เคยเปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 เป็นอาคารชุดสูง 29 ชั้น แต่เมื่อได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้เรียกร้อง จึงปรับลดลงมาโดยตลอด จนปัจจุบันเหลือ 18 ชั้น แสดงว่าโครงการก็พยายามที่จะประนีประนอม
4. สำหรับข้ออ้างการบังแดดลม ในความเป็นจริง แดดที่ถูกบังบางส่วนคือเฉพาะในช่วงเช้า (สำหรับบ้านในซอย 68) และเฉพาะบางส่วนในช่วงบ่าย (สำหรับซอย 66) ซึ่งน่าจะเป็นข้อดีที่ไม่ร้อนนัก ส่วนลมนั้นตัวอาคารยังห่างจากเขตที่ดินของโครงการ 6 เมตรและมีช่องว่างระหว่างอาคารขนาดใหญ่ 2 ช่อง จึงไม่น่าจะบังลม
5. หากกลุ่มผู้เรียกร้องไม่ต้องการให้สร้างอาคารสูง ก็ควรซื้อสิทธิการสร้างตึกสูงจากเจ้าของโครงการ จะถือเอาโดยไม่คิดมูลค่าไม่ได้ เช่น โครงการนี้มีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท อาจมีกำไรสุทธิกับเจ้าของโครงการประมาณ 15% หรือ 450 ล้านบาท แต่ถ้านำที่ดินแปลงนี้ขนาด 9-3-66.8 ไร่ (3,966.8 ตารางวา) มาจัดสรรขายได้ 70% (ที่เหลือเป็นถนนและสาธารณูปโภค) ในราคาตลาดที่ 1.5 แสนบาทต่อตารางวา ก็จะเป็นเงิน 416.5 ล้านบาท โดยอาจมีกำไรสุทธิประมาณ 35% หรือ 146 ล้านบาท ก็เท่ากับมูลค่าของการไม่ได้สร้างอาคารสูงเป็นเงิน 304 ล้านบาทที่กลุ่มผู้เรียกร้องพึงร่วมกันจ่ายให้กับบริษัทเจ้าของโครงการ เช่น สมมติกลุ่มผู้ร้องมี 50 ราย ก็เป็นเงินรายละ 6 ล้านบาทนั่นเอง
6. การฟ้องร้องนี้ยังส่งผลถึงยอดขายของโครงการที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ปกติโครงการอาคารชุดควรจะขายได้หมดในเวลา 2 ปีเศษ แต่ในกรณีมีข้อพิพาทนี้ ทำให้ยังขายได้น้อย ข้อนี้หากผู้ฟ้องร้องแพ้คดี สมควรที่จะชดใช้ค่าเสียหายต่อโครงการนี้หรือไม่
7. โครงการนี้ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ในแหล่งชุมชน ช่วยให้ประชาชนไม่ต้องออกไปอยู่อาศัยนอกเมืองซึ่งเป็นการสร้างปัญหาให้กับการคมนาคมขนส่ง (ทำให้เมืองขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุด ไปรุกพื้นที่สีเขียวนอกเมือง) ข้อนี้เป็นผลดีต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมของเมืองในข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
8. ควรไกล่เกลี่ยให้กลุ่มผู้เรียกร้องซึ่งเป็นผู้มีรายได้สูงในโครงการโซล รัชดาภิเษก 68 (หลังละ 27 ล้านบาท) ที่เพิ่งอยู่มา 7 ปีนี้กับกลุ่มที่อยู่ในซอยรัชดาภิเษก 68 (หลังละ 15-30 ล้านบาท) เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยกว่า (ห้องชุดหน่วยละ 1.75-3.57 ล้านบาทในโครงการนี้) เข้ามาอยู่อาศัยในแขวงนี้ในฐานะคนไทยร่วมชาติได้โดยไม่แบ่งแยกฐานะ และต่างก็มีทางออกถนนใหญ่เช่นกัน ไม่น่าที่จะรบกวนกัน
9. ตามข่าวศาลปกครองกลางพิจารณาว่าคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ เร่งรีบให้ความเห็นชอบ EIA ไปทั้งๆ ที่ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์นั้น ตุลาการผู้พิจารณาคดีได้รับคำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ EIA ก่อนหรือไม่ว่าการเห็นชอบดังกล่าวรีบเร่งเกินไป ผิดหลักวิชาการจริงหรือไม่
10. ตามหลักแล้ว “ศาลปกครอง. . .ทำหน้าที่พิจารณาข้อพิพาททางปกครองระหว่างราษฎรกับรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ. . .” ที่ประชาชนถูกอำนาจรัฐกระทำอย่างไม่เป็นธรรม แต่ในกรณีนี้แม้ดูเป็นการพิพาทระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ แต่ผู้ฟ้องกลับมุ่งให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง กรณีนี้สมควรอยู่ในอำนาจของศาลปกครองหรือไม่ หรือควรเป็นคดีทางแพ่งระหว่างเอกชนกันเอง
11. ภาษิตกฎหมายยังกล่าวว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม (justice delayed is justice denied) รายงาน EIA ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 และได้รับการอนุญาตก่อสร้างและกำลังก่อสร้างอยู่ ต่อมาเพิ่งมีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 และในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 จึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยขอให้ทุเลาการบังคับมติให้ความเห็นชอบอีไอเอ ความเสียหายที่ได้ก่อสร้างไปแล้ว จะทำอย่างไรเป็นข้อที่พึงพิจารณาเช่นกัน
12. อย่างไรก็ตามในการก่อสร้าง อาจส่งผลกระทบในด้านเสียง ฝุ่นหรืออื่นใดบ้าง ก็สมควรที่กลุ่มผู้ร้องและเจ้าของโครงการจะพึงเจรจาเพื่อบรรเทาปัญหาหรือชดเชยค่าเสียหาย หรือมีการประกันความเสียหาย (หากมี) โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประสานงาน ทั้งนี้ก็มีตัวอย่างชัดเจนในบริเวณใกล้เคียงว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
ดร.โสภณเป็นนักวิชาการด้านการประเมินค่าทรัพย์สินและการพัฒนาเมือง โดยจบวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) การประเมินค่าทรัพย์สินจากสถาบันนโยบายที่ดินลินคอล์น-LRTI และการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากมหาวิทยาลัยคาธอลิกลูแวง แสดงความเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้รับการว่าจ้างจาก บมจ.ศุภาลัย หรือ ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานบริษัท แม้กระผมจะรู้จัก ดร.ประทีปมาช้านานในฐานะที่อยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ท่านเป็นนักพัฒนาที่ดิน กระผมเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน แต่ไม่เคยร่วมทำธุรกิจที่ดินกัน และบางครั้งก็มีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง เช่น ดร.ประทีปอาจเห็นควรให้ต่างชาติซื้อบ้านในไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนกระผมคัดค้านมาโดยตลอด เป็นต้น