คำถามง่ายๆ ข้างต้น “ถ้าต้องย้ายประเทศ คุณจะย้ายไปจีนหรือสหรัฐอเมริกา” โดยสมมติว่าถ้ามีโอกาสให้เลือกเพียง 2 ประเทศ คุณจะย้ายไปอยู่ที่ไหนระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา อาจเป็นพลเมืองประเทศอื่นในโลกก็ได้ว่าจะย้ายไปที่ไหนดีระหว่าง 2 ประเทศนี้
ที่ถามนี่ ไม่ใช่ว่าผม “โปร” ประเทศใดโดยเฉพาะ แม้ผมจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน 100% ก็ไม่ได้ต้องเข้าข้างจีน และแม้ในขณะนี้ผมจะเดินทางมาประชุมที่สหรัฐอเมริกา และบางปีก็มาถึง 4 หน มีศาสตราจารย์เป็นชาวอเมริกันหลายคน ก็ใช่ว่าจะ “โปร” เขาแต่อย่างใด แต่ที่ต้องถามเพราะตอนนี้มีกระแสการต่อต้านสหรัฐอเมริกาอยู่อย่างหนักหน่วงจากหน่วยโฆษณาชวนเชื่อของจีน ซึ่งเราคนไทยต้องฟังหูไว้หู จะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด
ข้อความโจมตีสหรัฐอเมริกาหรือปกปิดความจริงของจีนในขณะนี้ก็เช่น
1. สหรัฐอเมริกามีคนเร่ร่อน “ยั๊วเยี้ย” (อย่างกับหนอน) เต็มไปหมด ในความเป็นจริง สหรัฐอเมริกามีคนเร่ร่อนอยู่ทั่วประเทศ 553,000 คน และขณะนี้มีแนวโน้มลดลง สหรัฐอเมริกามีประชากรทั้งหมด 332 ล้านคน แสดงว่าประชากรอเมริกัน 0.17% เป็นคนเร่ร่อน หรือประชากร 1,000 คน เป็นคนเร่ร่อน 17 คนนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน ในประเทศจีน มีคนเร่ร่อนประมาณ 3 ล้านคน แต่จีนมีประชากรมากที่สุดในโลกถึง 1,412 ล้านคน หรือสัดส่วนของประชากรคนเร่ร่อนคือ 0.21% หรืออีกนัยหนึ่ง ในจำนวนประชากร 1,000 คน จะเป็นคนเร่ร่อนถึง 21 คน นี่แสดงว่าในประเทศจีน มีคนเร่ร่อนในสัดส่วนที่มากกว่าในสหรัฐอเมริกาโดยเปรียบเทียบเสียอีก
อันที่จริง จีนอาจมีจำนวนคนเร่ร่อนมากกว่านี้มาก บางแหล่งข่าวบอกว่ามีนับร้อยล้านคน เพราะมีการย้ายถิ่นจากชนบทเข้ามาทำงานในเมือง อีกส่วนหนึ่ง ผู้ย้ายถิ่นเหล่านี้มีที่อยู่อาศัยในสภาพที่ไม่ถูกสุขลักษณะ แต่อาจไม่ได้ถูกจัดเป็นคนเร่ร่อน ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลก็พยายามจัดหาที่พักชั่วคราวให้คนเร่ร่อนอยู่ จึงทำให้เห็นภาพคนเร่ร่อนตามท้องถนนไม่มากนัก
ส่วนในสหรัฐอเมริกา ประชาชนมีอิสระเสรีตั้งแต่สมัยฮิปปี้หรือบุปผาชน ย้ายถิ่นเร่ร่อนไปเรื่อย โดยเฉพาะมาปักหลักในเมืองใหญ่ เราจึงเห็นการชุมนุมของคนเร่ร่อนในมหานครขนาดใหญ่ เช่น ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก หรืออื่นๆ แต่ในเมืองขนาดเล็กๆ คงแทบไม่พบคนเร่ร่อนโดยเฉพาะที่มารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ กรณีนี้ก็คล้ายขอทานในอินเดีย ซึ่งมักมีในมหานครใหญ่ ไม่ใช่ในเมืองเล็กๆ
2. อาชญากรรมต่อคนเอเชียมีมากมายเหลือเกิน เช่น มีรายงานข่าวว่าจำนวนเหยื่ออาชญากรรมเรื่องผิวสี เพิ่มขึ้น 567% ซึ่งดูแล้วน่าตกใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเพิ่มขึ้นจาก 9 รายเป็น 60 ราย (https://t.ly/DLYo) ซึ่ง 60 รายนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเหยื่ออาชญากรรมอื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ยิ่งหากดูจากสถิติของตำรวจซานฟรานซิสโกล่าสุด (1 มกราคม – 28 พฤษภาคม 2566) พบว่าสถิติอาชญากรรมลดลง 6.7% จากช่วงเวลาเดียวกัน (https://t.ly/McIv) ดังนั้นก่อนที่จะเชื่อข้อมูลใดๆ เราจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน
3. บ้านว่าง (Vacant Housing Units หรือ Unoccupied Housing Units) มีการโพทะนากันว่าในสหรัฐอเมริกา มีบ้านว่างอยู่มากถึง 15.053 ล้านหน่วย (https://t.ly/Zmxa) หรือราว 144.287 ล้านหน่วย (https://t.ly/UdGv) หรือราว 10.4% ในขณะที่สถานการณ์บ้างว่างในจีนหนักกว่าด้วยซ้ำไป ตามรายงานข่าวของ South China Morning Post ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2565 นี้ (https://bit.ly/3QwNYfI) กล่าวว่า ประเทศจีนมี “บ้านว่าง” อยู่ถึง 50 ล้านหน่วย หรือราว 12.1% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในประเทศจีน (ราว 400 ล้านหน่วย) นี่แสดงว่าในจีนผลิตที่อยู่อาศัยมากมาย (เพื่อการเก็งกำไร) หนักกว่าในสหรัฐอเมริกาเสียอีก
4. แม้แต่ในเรื่องโควิด-19 สหรัฐอเมริกาเปิดเผยอย่างชัดเจนและแทบทุกประเทศก็พยายามเปิดเผยตัวเลขอย่างโปร่งใส เช่น สหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่านับแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีประชากรติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 107,128,863 คน ตายไป 1,165,540 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 334,805,269 คน หรือติดเชื้อในสัดส่วน 32% หรือหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด ในขณะที่จีนประกาศว่าติดเชื้อเพียง 503,302 คน ตายเพียง 5,272 คน จากจำนวนประชากร 1,448,471,400 คน นี่แสดงว่าผู้นำจีนปกปิดโกหกต่อชาวโลกชัดๆ แล้วจีนจะยังเหลืออะไรให้ชาวโลกเชื่อถือไว้วางใจได้อีก
5. ประเทศไหนน่าซื้อบ้านอยู่หรือเก็งกำไรบ้าง นักลงทุนเพื่อนบ้านของประเทศไทยนิยมนิยมย้ายไปสหรัฐอเมริกามากน้อยเพียงใด นี่เป็นผลสำรวจที่ทำไว้ก่อนช่วงโควิด-19
ประเทศที่สอบถาม อันดับที่ % อ้างอิง
ฟิลิปปินส์เลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 1 16% https://bit.ly/2Ojdc3G
มาเลเซียเลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 11 2.5% https://bit.ly/2L3X8Dh
กัมพูชาเลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 5 12% https://bit.ly/2tn05nX
เวียดนามเลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 1 19% https://bit.ly/2KtlnHh
อินเดียเลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 1 20% https://bit.ly/2rewbmJ
อินโดนีเซียเลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 5 6% http:/ https://bit.ly/2VtrMYh
เมียนมาเลือกสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 4 5% http:/ https://bit.ly/2VtrMYh
จะเห็นได้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีผู้สนใจไปซื้อบ้านอยู่อาศัยหรือเก็งกำไรมากที่สุดแห่งหนึ่ง และแทบไม่มีประเทศใดเลือกซื้อบ้านในประเทศจีนเลย
6. ยิ่งกว่านั้นถ้าเราไปซื้อบ้านในสหรัฐอเมริกา เขาให้ต่างชาติซื้อขายขาดในกรณีที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับในประเทศไทย แต่ในจีนผู้ที่จะซื้อห้องชุดได้ ต้องเป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักในจีน ซื้อได้แบบเซ้งในระยะเวลา 70 ปีเท่านั้น ถ้าเป็นที่ดินเพื่อประกอบกิจการต่างๆ ก็อาจเป็น 30-50 ปีเท่านั้น ไม่ได้ขายขาดเช่นในนานาอารยประเทศ ประเทศที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ก็คงหาผู้คิดไปอยู่อาศัยด้วยได้ยาก
ประเด็นที่พึงพิจารณาก็คือ จีนพยายามอย่างยิ่งยวดในการ discredit สหรัฐอเมริกา และโฆษณาชวนเชื่อว่าจีนดีกว่า นี่เป็นสงครามข่าวสาร แม้ผมจะมีเชื้อสายจีน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงประชาชน จีนจะพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ควรภูมิใจ ไม่ควรให้ร้ายคนอื่น ไม่เช่นนั้นก็จะขาดความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก การโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลจีนในลักษณะนี้ กลับจะทำให้เกิดความไม่น่าไว้วางใจแก่รัฐบาลจีนเองในฐานะที่เป็นจักรวรรดินิยมมุ่งขยายอิทธิพล และอาจมุ่งหวังครองโลกหรือครอบงำชาติอื่น ดังเช่นที่จีนเข้าไปครอบงำในกัมพูชา ลาว เมียนมา และประเทศอื่นๆ ในอาฟริกาและโอเชียเนีย ประเทศไทยของเราจึงพึงสังวรและหาทางป้องกันการครอบงำจากจีน
สิ่งที่รัฐบาลไทยพึงทำได้ก็คือการอาศัยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการครอบงำจากจีน เช่น การห้ามใช้นอมินีในการซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด โดยมีการปราบปรามอย่างจริงจัง และมีมาตรการลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญา อย่างไรก็ตามส่วนราชการในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งไทยมักมีการทุจริต จึงควรตรวจสอบส่วนราชการอย่างเคร่งครัดเช่นกัน
เราในฐานะคนไทยควรดูกรณีนี้เป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ถูกหลอกลวงจากการโฆษณาชวนเชื่อซ้ำๆ และต้องระวังการเสียเอกราช (ทางเศรษฐกิจ) แก่จีน