ท่านทราบหรือไม่ สุดยอดบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้แก่บริษัทอะไรบ้างในขอบเขตทั่วประเทศ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเฉพาะในจังหวัดภูมิภาค ตลอดช่วงปี 2537-2565 หรือในรอบ 28 ปีที่ผ่านมา
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้สรุปผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคสนามในขอบเขตทั่วประเทศที่เก็บมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 – ธันวาคม 2565 ถือเป็นศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในประทศไทย ที่เก็บข้อมูลมานานที่สุด รวมเวลา 28 ปี เพื่อให้ทราบว่า 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในขอบเขตทั่วประเทศ หรือเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลและเฉพาะในจังหวัดภูมิภาค ได้แก่บริษัทอะไรบ้าง
บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ในขอบเขตทั่วประเทศ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ถือเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดที่พัฒนาโครงการมากที่สุดถึง 758 โครงการ มีหน่วยขายรวมกันถึง 256,495 หน่วย รวมมูลค่า 574,882 ล้านบาท ทั้งนี้มีราคาเฉลี่ยหน่วยละเพียง 2.241ล้านบาท ในประเทศไทยการพัฒนาที่อยู่อาศัยดำเนินการโดยภาคเอกชน ต่างจากในสิงคโปร์ซึ่งที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ถึง 80% พัฒนาโดยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ ในขณะที่การเคหะแห่งชาติของประเทศไทยอาจมีสัดส่วนในตลาดไม่ถึง 1% ในขอบเขตทั่วประเทศ ในแง่หนึ่งนี่แสดงว่ารัฐบาลไม่ต้องเสียเงินไปจัดสร้างที่อยู่อาศัยมากเท่าสิงคโปร์
บริษัทนี้มีแผนการตลาดที่พัฒนาแทบทุกทำเล และแทบทุกระดับราคาที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย จึงกลายเป็นหมายเลขหนึ่งแทน บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ที่แม้พัฒนาในแทบทุกทำเลที่เป็นไปได้ แต่ก็เน้นเฉพาะบ้านที่มีราคาสูง ส่วนแชมป์เก่าเมื่อ 30-40 ปีก่อน อาจเป็น บมจ.บางกอกแลนด์ที่พัฒนาเป็นเมืองขนาดใหญ่ (Township) และมีสินค้าทุกอย่างอยู่ในเมืองเดียว เช่น กรณีเมืองทองธานี กรณีบางกอกแลนด์อาจเหมาะสมกับการพัฒนาในยุคก่อนที่ระบบคมนาคมขนส่งยังจำกัด จึงไม่สามารถพัฒนาในพื้นที่หลากหลายได้
สำหรับริษัทอันดับสองเป็น บมจ.เอ.พี. (ไทยแลนด์) ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ตามมูลค่าการพัฒนา คือ 503,095 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดเท่ากับ 88% ของ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ตามมาด้วย บมจ.แสนสิริ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ และ บมจ.ศุภาลัย ส่วนในแง่จำนวนหน่วย อันดับสองจะเป็น บมจ.แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งพัฒนาถึง 130,695 หน่วย หรือ 51% ของ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ตามด้วย บมจ.ศุภาลัย เป็นอันดับที่ 3 (114,788 หน่วย) บมจ.แสนสิริ เป็นอันดับที่ 4 (107,015 หน่วย) และ บมจ.เอ.พี.(ไทยแลนด์) เป็นอับดับที่ 5 (110,426 หน่วย) โดยทั้ง 5 บริษัทนี้พัฒนากันเกินกว่า 100,000 หน่วยในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา
จะสังเกตได้ว่า บมจ.แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ พัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาต่ำสุดโดยเฉลี่ย คือ 1.571 ล้านบาทต่อหน่วย แสดงว่าเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาค่อนข้างถูกสำหรับประชาชนทั่วไป เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของการเคหะแห่งชาติ ในยุคหนึ่งบริษัทนี้ถือเป็น “ขวัญใจคนจน” ในในยุคปัจจุบัน เน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางเป็นหลัก ในทางตรงกันข้าม บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นถือเป็นเจ้าตลาดระดับบน คือพัฒนาในราคาเฉลี่ยหน่วยละ 8.486 ล้านบาท
บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานครในที่นี้หมายถึงเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอันได้แก่นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม (เฉพาะสามพรานและนครชัยศรีบางส่วน) รวมทั้งบางส่วนของอยุธยา (ต.เชียงราก บางปะอิน) และฉะเชิงเทรา (ต.หอมศีล บางปะกง) ทั้งนี้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดก็ยังคงเป็น บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท ที่มีการพัฒนารวม 704 โครงการ 243,359 หน่วย รวมมูลค่า 541,727 หน่วย มีราคาเฉลี่ย 2.226 ล้านบาท
ลำดับต่างๆ ก็แทบไม่แตกต่างไปจากเดิม คือ นอกจากอันดับหนึ่งคือ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท แล้ว อันดับที่ 2-5 ก็ยังเป็น บมจ.เอ.พี. (ไทยแลนด์) บมจ.แสนสิริ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ และ บมจ.ศุภาลัย ยิ่งกว่านั้น บมจ.แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ ก็ยังพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาต่ำสุดโดยเฉลี่ย คือ 1.574 ล้านบาทต่อหน่วย และในทางตรงกันข้าม บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ถือเป็นเจ้าตลาดระดับบน คือพัฒนาในราคาเฉลี่ยหน่วยละ 8.699 ล้านบาท
การเปิดตัวล่าสุดในปี 2565
ล่าสุด ณ สิ้นปี 2565 ยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากมายทั้งนี้พิจารณาเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปรากฏว่าบริษัทที่มีการเปิดตัวโครงการสูงสุดเปลี่ยนจากแชมป์เก่าอย่าง บจก.พฤกษา เรียลเอสเตท แชมป์ตลอดช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา มาเป็น บจก.เอ.พี (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นแชมป์มา 3 ปีซ้อนแล้ว โดยล่าสุด ณ ปี 2565 เปิดตัวทั้งปีถึง 46 โครงการ รวม 12,072 หน่วย มูลค่ารวม 61,614 ล้านบาท และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5.104 ล้านบาทรองลงมาก็คือ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น บมจ.แสนสิริ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ และ บมจ.โนเบิลดีเวลลอปเมนท์ ส่วนแชมป์เก่า บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ไม่ติด 10 อันดับแรก
ทั้ง บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ก็ครองแชมป์บ้านราคาแพง ในระดับราคา11.105 ล้านบาท และ 12.041 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วน บมจ.แอล พี เอ็นดีเวลลอปเม้นท์ ก็พัฒนาในระดับราคาต่ำสุดคือ 3.138 ล้านบาท แสดงว่ายังรักษาราคาที่ต่ำสุด แต่ไม่ได้สร้างบ้านในราคาต่ำมากนักเพราะผู้กู้อาจกู้ไม่ผ่าน จึงเน้นระดับราคาปานกลางเป็นหลักและปรากฏว่าขายได้ดีเป็นพิเศษ
อาจกล่าวได้ว่าบริษัทมหาชนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและ 10 บริษัทแรกของบริษัทมหาชนครองส่วนแบ่งในตลาดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึง 50% ส่วนในขอบเขตทั่วประเทศอาจครองส่วนแบ่งตลาดถึง 30% นอกนั้นเป็นบริษัทอื่นๆ
หมายเหตุ: ลงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิ
ยักษ์อสังหา ในรอบ 28 ปี “ใครเป็นใคร” ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด (28 พฤษภาคม 2566)
https://www.prachachat.net/property/news-1303136