เมื่อเช้าวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2519 ผมเดินทางไปธรรมศาสตร์เพราะได้ข่าวว่าทหารมาปรามปรามนิสิต นักศึกษา และประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันนั้นมีคนถูกฆ่าสิบๆ ราย แต่โชคดีผมรอดชีวิตกลับมาได้
อันที่จริงในช่วงนั้นผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงนั้นยังไม่มีการแยกคณะ สอบเข้ามาตามสาย ผมเข้าสายคณิตศาสตร์โดยสอบเทียบมาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ พอเข้าธรรมศาสตร์ได้ ผมก็ทำกิจกรรมนักศึกษาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ในวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2519 ผมรับหน้าที่ไปเฝ้าอยู่แถวสนามเป้า เผื่อรถถังวิ่งออกมาทำรัฐประหาร ปราบปรามประชาชน จะได้แจ้งที่ธรรมศาสตร์ให้รีบสลายตัวได้ทัน แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้ใช้รถถัง แต่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อและคนแต่งกายเป็นพลเรือนผสมโรงกับเจ้าหน้าที่มาฆ่าประชาชนแทน
พอตกกลางคืน ผมถึงกะพัก จึงกลับบ้านไป แต่พอได้ข่าวว่ามีการปราบปรามนักศึกษา ผมจึงรีบออกจากบ้าน แต่พ่อและแม่ผมทัดทานไว้ ผมก็ไม่ยอมจะออกมาช่วยเพื่อนๆ ให้ได้ พ่อแม่ไม่รู้จะห้ามปรามผมได้อย่างไร พ่อจึงขอมาด้วย ผมรู้สึกได้ว่าพ่อแม่ผมเป็นห่วงผมมาก แต่ตอนนั้นผมคิดถึงแต่พี่น้องประชาชนที่ถูกทำร้าย
ผมนั่งแท็กซี่มากับพ่อโดยลงที่ท่าช้าง และพยายามเดินเข้ามาทางท่าพระจันทร์เพื่อหวังไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน แต่เข้าไปใกล้ๆ ไม่ได้แล้ว เพราะนักศึกษา ประชาชนหนีกรูกันออกมา ผมกับพ่อก็ได้ยินเสียงปืนกลเป็นระยะๆ ผู้คนแตกตื่นกันใหญ่ บ้างก็หนีเข้าไปในวัดมหาธาตุและถูกจับทั้งหมดในเวลาต่อมา
ผมกับพ่อหนีลงแม่น้ำ มีเรือหางยาวลำหนึ่ง มีคนนั่งกันเพียบ คนบนเรือก็กวักมือเรียกผมไปด้วย กะว่าจะหนีข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปฝั่งธนบุรี แต่ผมไม่ได้ไปด้วย และมาเห็นอีกทีว่าเรือดังกล่าวไปไม่ถึงฝั่ง จมอยู่กลางแม่น้ำ ผู้คนบนเรือคงมีจมน้ำตายกันบ้าง
ผมกับพ่อและพี่น้องประชนชนจำนวนหนึ่ง จึงเดินเลาะแม่น้ำเจ้าพระยาลุยน้ำมาทางท่าช้าง ไม่สามารถเดินบนฝั่งได้เพราะมีเสียงปืนกลและปืนธรรมดาดังมาโดยตลอด พอเดินลุยน้ำมาถึงท่ามหาราษฎร์ก่อนถึงท่าช้าง พ่อผมก็ขอขึ้นบ้านชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านบ้านนั้นก็ใจดีมาก ให้ผมกับพ่อขึ้น พ่ออ้างกับเขาว่ามาหาหมอที่ศิริราช เขาเห็นพ่อผมเป็นผู้ใหญ่คงไม่ใช่นักศึกษาก็เชื่อและให้ผมกับพ่อขึ้นไปบนบ้าน ส่วนนักศึกษาอื่นก็ลุยน้ำไปถึงท่าช้างและคงถูกจับตรงนั้น
เจ้าของบ้านใจดีมากให้พ่อกับผมเปลี่ยนเสื้อผ้าของลูกๆ ของเขา และนอนพักอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง พอใกล้เที่ยงก็เดินออกมา ตำรวจยังอยู่เต็มแถวนั้น แต่ผมกับพ่อก็เดินออกมาได้อย่างปลอดภัย เพราะเขาคิดว่าเป็นชาวบ้านแถวนั้นเอง แต่ปรากฏว่าชาวบ้านแถวนั้นรายหนึ่ง ออกมาดูเหตุการณ์ปากซอยทวีผลบนถนนท่ามหาราช โชคร้ายโดยยิงเสียชีวิตไป
หลังจากออกมาจากแถวนั้นได้ ก็กลับบ้านกัน พอถึงบ้านพ่อร้องไห้กับแม่ใหญ่เลย บอกโชคดีมากที่รอดชีวิตกลับมาได้ ถ้าผมกับพ่อเป็นอะไรไป แม่ (อายุ 38 ปี) น้องชายของผม (อายุ 7 ปี และน้องสาวของผม (อายุ 5 ปี) รวมทั้งยายของผม (อายุ 60 ปีเศษ) ในตอนนั้นจะอยู่กันต่ออย่างไร แต่ผมในขณะนั้น ก็ยังไม่ได้ตกใจอะไรมาก เพราะยังเด็กอยู่ ไม่ได้มีภาระรับผิดชอบอย่างไร
ผมโชคดีมากที่พ่อไปด้วย ได้ช่วยชีวิตผมไว้แท้ๆ ผมโชคดีที่ได้อยู่ต่อมาอีก 46 ปีจนถึงวันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ แต่ต้องตั้งใจต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไปโดยไม่ถ่มน้ำลายรดฟ้า กลืนน้ำลายตัวเอง