ซานติกาผับ ถนนสุขุมวิท 63 ได้เกิดเพลิงไหม้เมื่อ 1 มกราคม 2552 จนมีผู้เสียชีวิต 66 ศพ และที่ดินตรงนั้นก็ไม่ได้ใช้อีกเลยจนถึงปัจจุบัน (2566) รวม 14 ปี ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ไปสำรวจพบว่าขณะนี้มีร้านหมาล่ามาเช่าใช้แล้ว คงต้องคอยดูกันต่อไป
และในภาคต่อไป ดร.โสภณจะประเมินให้เห็นว่าที่ดินที่มีตำหนิคนตายมากมาย มีมูลค่าลดลงไปเท่าไหร่
ใน Wikipedia (https://shorturl.asia/9lo86) สรุปไว้ว่า:
เหตุเพลิงไหม้ซานติก้าผับ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 มีผู้เสียชีวิต 66 คน[1][2] (สื่อมวลชนไทยรายงานว่าเสียชีวิต 67 คน)[3]อายุต่ำสุด 17 ปี เด็กนักเรียนชาย 2 คน สูงสุดอายุ 51 ปี โดยสื่อมวลชนไทย รายงานผู้เสียชีวิตชื่อทรงพลถึง 3 ราย และนามสกุลคล้ายกันมาก ได้แก่ นาย ทรงพล หวังทวีวงศ์ นาย ทรงพล ธาโพธิ์ เสียชีวิตที่เกิดเหตุ และ นาย ทรงพล โปธา เสียชีวิตที่ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี[4]ในวันที่ 22 มีนาคม พบศพเพิ่มเติมอีกหนึ่งราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 225 คนในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 45 ราย (สื่อมวลชนไทยรายงานว่า 222 คนที่บาดเจ็บ)[5][6] เหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นหลังช่วงจัดงานปีใหม่[7] เวลา 00.35 น.[8] ชาวต่างชาติจากประเทศออสเตรเลีย เบลเยียม ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เนปาล เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้รับบาดเจ็บในเหตุนี้ด้วย[5][7][9][8] และมีชาวต่างชาติจากประเทศสิงคโปร์ 3 ราย ประเทศญี่ปุ่น 1 รายประเทศซูดาน 1 รายเสียชีวิต ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น 1 ราย ลูกครึ่งไทย-พม่า 1 ราย ลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์ และ ลูกครึ่งไทย-แคนาดา 1 ราย[10]
ก่อนเกิดเหตุ ซานติก้าผับได้เปิดทำการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547 ซานติก้าผับเป็นอาคารเดี่ยวในพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตรปลูกอยู่ในพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ ยกระดับ 3 ชั้น เป็น ชั้น1 ชั้น 2 และชั้นใต้ดิน ซานติก้าผับ มีประตูทางออก 4 ประตู โดยแบ่งเป็น ประตูทางออกสำหรับบุคคลสำคัญ และ ประตูทางออกสำหรับออกไปสูบบุหรี่ ประตูทางออกหลัก 2 ประตู ซานติก้าผับได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียงและหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยซึ่งมีกำหนดหมดสัญญาเช่าในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 ทางผับได้จัดงานอำลาวันสุดท้ายของผับขึ้นโดยเชิญ โจอี้ บอย และนักร้อง ดีเจ มาร่วมคืนฉลองส่งท้ายวันทำการวันสุดท้ายของซานติก้าผับ ใช้ชื่องานว่า "goodbye santika 2009"
วันเกิดเหตุ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาที่ผับเพื่อฉลองปีใหม่ ในค่ำคืนนั้น มีการจุดไฟเย็น ดื่มเหล้า ทานอาหารและแสดงดนตรี จำนวนคนร่วมงานคาดการณ์ว่ามากถึง 1000 คน ซึ่งเกิดกว่าขีดจำกัดของทางผับที่รับได้ประมาณ 500 คน[11] นักท่องเที่ยวทั้งหมดเข้ามาจากทางประตูหน้าที่มีความกว้างสองเมตรครึ่ง จำนวนคนในผับแน่นขนัดทั้งสองชั้นและบริเวณบันได
ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 นักท่องเที่ยวได้จุดพลุไฟเย็นในขณะที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อมีการแจกพลุกระดาษให้กับนักท่องเที่ยวพวกเขาจุดพลุกระดาษจนไปติดไฟสปอร์ตไลท์ ขณะนั้น แม้ว่า เพลิงไหม้แล้ว นักท่องเที่ยวยังไม่ทราบว่าเกิดเหตุ มีคนตะโกนว่า "เอฟเฟกต์ เอฟเฟกต์" ภายหลังจึงพบหลักฐานในที่เกิดเหตุ หลักฐานดังกล่าวคือกล้องที่ตกอยู่ ซึ่งบันทึกภาพการแสดงในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไฟไหม้ได้ เผยให้เห็นภาพการแสดงของวงเบิร์น ที่เมื่อแสดงจบนักร้องนำคนดังกล่าวก็ได้เดินออกไปข้างเวที ก่อนที่สเปเชียลเอฟเฟกต์จะถูกจุดขึ้นกลางเวที ในตอนนั้นที่นักร้องคนใหม่เดินเข้ามา ก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเพลิงที่ไหม้ซานติก้าผับ
แท้จริงแล้วเกิดจากสเปเชียลเอฟเฟกต์ของเวที ซึ่งเกิดจากระบบไฟฟ้า ไม่ใช่พลุกระดาษที่นักร้องนำวงเบิร์นเป็นคนจุด[12]ภายหลังจากนั้นไฟฟ้าในอาคารได้ดับลง กว่าจะทราบว่าเป็นเพลิงไหม้ เพลิงก็ได้ทำการลุกไหม้จากบริเวณชั้นสอง ทำให้โครงสร้างถล่มลงมา เนื่องจากภายในผับมีวัตถุที่เอื้อต่อการเกิดเพลิงไหม้ อาทิ ผนังโฟม สุรา ฯลฯ เพลิงจึงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวพยายามหนีออกมาทางประตูด้านหน้า ซึ่งมีขนาดเพียงสองเมตรครึ่ง เนื่องจากไม่ทราบทางออกอื่น แต่ไม่สามารถออกมาได้เนื่องจากคนแน่นขนัดมาก และ ประตูมีขนาดเล็ก คนที่ล้มลงในสถานที่เกิดเหตุไม่สามารถลุกขึ้นมาได้และถูกเหยียบซ้ำสภาพศพหลายศพถูกทับกัน
ต้นเหตุการเกิดไฟไหม้ครั้งนี้ ตอนแรกทางตำรวจสันนิษฐานว่ามาจากการยิงพลุกระดาษ โดยก่อนเกิดไฟไหม้หลังจากวงเบิร์นได้แสดงเสร็จ มีการแจกไฟเย็น โดยการโยนให้กับนักท่องเที่ยวและมีการยิงพลุกระดาษจนไปติดสปอร์ตไลท์ด้านบนจึงเกิดประกายไฟและไฟไหม้ ในเวลาต่อมาทางตำรวจได้แจ้งจับนักร้องนำวงเบิร์น ด้วยข้อหาเป็นคนจุดพลุไฟ จนทำให้เกิดเพลิงไหม้
อย่างไรก็ตาม เมื่อทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง พวกเขาก็ได้พบกับหลักฐานชิ้นสำคัญซึ่งช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์แก่นักร้องนำวงเบิร์นได้ รวมทั้งชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ต้นเพลิงมาจากอะไรกันแน่ หลักฐานดังกล่าวคือภาพจากกล้องวงจรปิดของซานติก้าผับ ซึ่งสามารถบันทึกภาพการแสดงในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไฟไหม้ได้ เผยให้เห็นภาพการแสดงของวงเบิร์น ที่เมื่อแสดงจบนักร้องนำคนดังกล่าวก็ได้เดินออกไปข้างเวที ก่อนที่สเปเชียลเอฟเฟกต์จะถูกจุดขึ้นกลางเวที ในตอนนั้นที่นักร้องคนใหม่เดินเข้ามา ก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเพลิงที่ไหม้ซานติก้าผับ แท้จริงแล้วเกิดจากสเปเชียลเอฟเฟกต์ของเวทีและเกิดจากระบบไฟฟ้า ไม่ใช่พลุกระดาษที่ตำรวจกล่าวหาว่านักร้องนำวงเบิร์นเป็นคนจุด
หลังเกิดเหตุ มีการสั่งย้ายผู้อำนวยการเขตปทุมวันและเขตวัฒนา และนำคดีฟ้องศาล ศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุก นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ และและนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัทโฟกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม คนละ 3 ปี ทั้งให้ชดใช้โจทก์ร่วมที่บาดเจ็บและเสียชีวิต อีก 5.12 ล้านบาท[13]
นอกจากนั้นมีกลุ่มผู้เสียหาย 12 คน ไปยื่นฟ้อง กทม. ต่อศาลปกครองกลาง เนื่องจากละเลยไม่ดำเนินการตรวจสอบและควบคุมอาคารที่เปิดเป็นสถานบริการ ซานติก้าผับ ศาลปกครองอ่านคำพิพากษาให้ กทม. ชดเชยค่าเสียหายให้ทั้ง 12 คน ในจำนวนร้อยละ 20 ของค่าเสียหายทั้งหมดที่ผู้เสียหายเรียกร้อง พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา เนื่องจากศาลเห็นว่า กทม. มีส่วนร่วมในการปล่อยปละละเลยการตรวจตราสถานบันเทิง ซานติก้าผับ[14]
ภายหลังเหตุเพลิงไหม้ซานติก้าผับมีการออก กฎกระทรวง กำหนดประเภทและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้เพื่อประกอบกิจการเป็นสถานบริการ พ.ศ. 2555[15] สาระสำคัญคือได้แบ่งขนาดพื้นที่บริการ 6 ประเภท ตามขนาดพื้นที่และลักษณะอาคารเดี่ยว หรือสถานบริการหลายประเทศรวมกัน กำหนดตำแหน่งบันไดหนีไฟอย่างน้อย 2 ทาง รวมถึงทางออก และประตูทางออก ที่สอดคล้องกับจำนวนคนสูงสุดที่อยู่ในพื้นที่บริการ มีการกำหนดโครงสร้างหลัก โครงสร้างหลังคาที่ต้องมีอัตราทนไฟ รวมทั้งมีอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ หรือหัวจ่ายน้ำดับเพลิง ตามขนาดสถานบริการ เป็นต้น[16]
วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552 ได้มีการพบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมที่ชั้นสองของอาคาร[17]ส่งผลให้ พ.ต.ต.อุเทน ทักขิโน พนักงานสอบสวน.ทองหล่อเดินทางมารับชิ้นส่วนกระดูกและซากโทรศัพท์มือถือไอโฟนอย่างไรก็ตามไม่ได้มีการเปิดเผยผลการสอบสวนแต่อย่างใด