บางเมืองอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่เคยไป บางที บางที่ก็ “ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น” เช่นเมืองคีนาบาลู
ในระหว่างวันที่ 3-5 พฤศจิกายน 2566 ผมในฐานะนายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์สากล (FIABCI-Thai.org) ได้รับเชิญจากสมาคมนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งรัฐซาบะห์ มาเลเซีย ให้ไปร่วมงานเลี้ยงครบรอบ 45 ปีของสมาคมแห่งนี้ ผมจึงเดินทางไป ที่เขาเชิญผมเพราะเมื่อปีก่อนผมเชิญนายกสมาคมของเขามาบรรยายและร่วมในงานกาลาดินเนอร์ของสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์สากล ปีนี้เขาจึงเชิญตอบแทน
งานนี้ต้องใส่ชุดทักสิโด (Black Tie) อย่างหรู คราวก่อนผมก็ขอให้นายกสมาคมของเขาใส่เช่นกัน เพราะเป็นไปตามธรรมเนียมฝรั่งสำหรับงานกาลาดินเนอร์ที่มีการมอบรางวัลโครงการอสังหาริมทรัพย์ดีเด่นด้วย แขกเหรื่อในงานก็แต่งกันมาเต็มรูปแบบ สาวๆ ก็ใส่ชุดราตรียาว แต่บางงานเขาก็ไม่เคร่งครัด เช่นที่ไต้หวัน แค่ใส่สูทผูกไทธรรมดาเท่านั้น
นิราศคราวนี้ ไม่มีไรน่าตื่นเต้นนักเพราะไปถึงสนามบิน ท่านนายกฯ ก็ส่งรถเบนซ์มารับ ขากลับก็ส่งรถตู้แบบผู้บริหารไปส่งสนามบินอีก แต่ที่น่าเหนื่อยก็คือการขึ้นเครื่องบิน แต่เดิมมีเครื่องบินตรงไป/กลับกรุงเทพมหานคร-คีตาบารูใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมง แต่ตั้งแต่หลังโควิดมาก็ยังไม่เปิด ผมต้องบินไปกัวลาลัมเปอร์แล้วค่อยต่อไปคีนาบาลู สิริรวมราว 7 ชั่วโมง
งานเลี้ยงของสมาคมนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งรัฐซาบะห์นี้จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน จัดได้ยิ่งใหญ่มาก มีผู้เข้าร่วมราว 1,100 คน เป็นโต๊ะจีนนับร้อยโต๊ะ มีรัฐมนตรีมาเปิดงาน มีการมอบรางวัลโครงการอสังหาริมทรัพย์ และนักพัฒนาที่ดินดีเด่นด้วย มีการแสดงบันเทิงสุดอลังการ แต่ไม่มีผู้เข้าร่วมเต้นรำด้วย งานนี้เริ่ม 18:30 น ให้พูดคุยกันหน้าห้องบอลรูมกันก่อน โดยมีการถ่ายรูปหมู่ รูปที่ระลึก ฯลฯ แต่กว่างานนี้จะเริ่มจริงเมื่อรัฐมนตรีมาถึงก็ราวทุ่มครึ่ง และมีงานยาวไปถึง 23:30 น ยาวนานที่สุดในภูมิภาคนี้
รุ่งขึ้นวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน ท่านนายกฯ เลี้ยงอาหารกลางวันอีก อันที่จริงผมอยากไปเที่ยวภูเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อคีนาบาลูโดยสูงถึง 4 กิโลเมตร (มองเห็นชัดจากเครื่องบิน) ผมก็กะไปแค่เชิงเขา เพราะข้างบนหนาวเย็นราว 0 องศา งานเลี้ยงนี้มีกรรมการสมาคมไปร่วมกันหลายท่าน ก็ดีที่ได้สร้างเครือข่าย และพอหลังงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ผมก็ได้โอกาสตระเวนเดินในเมือง ถ่ายทำคลิปไปเรื่อยจนมืด วันนั้นผมเดินได้ราว 13 กิโลเมตร
พอวันกลับ ผมว่าจ้างรถแท็กซี่ขึ้นเขาเตี้ยๆ กว่า ชื่อ Kokol ที่มองเห็นวิวเมืองได้ชัดเจน ค่าแท็กซี่ตกเป็นเวินไทยราว 960 บาท นัดกัน 06:00 น กลับมาตอน 08:20 น ก็แค่ไปถ่ายรูป ดูบรรยากาศ อันที่จริงเขานี้เหมาะดูอาทิตย์ตก แต่ผมมีเวลาน้อย จึงไปแต่เช้าและกลับมาว่ายน้ำไป 500 เมตร แล้วค่อยทานอาหารเช้า ซึ่งทานได้ถึง 10:30 น จากนั้นก็แช่ตัวในอ่างน้ำอุ่น และเตรียมตัวกลับโดยรถมารับเวลาเที่ยง เพื่อจะขึ้นเครื่องเวลา 15:00 น ตามเวลามาเลเซีย หรือ 14:00 น ตามเวลาไทย และกลับมาถึงกรุงเทพมหานครเวลา 21:15 น.
ตกลงนิราศครั้งนี้ผมได้ไปพักผ่อนด้วย ว่ายน้ำไป 2 วัน แช่น้ำอุ่นหลายรอบ เดินเตร็ดเตร่ เที่ยวเล่น และพบปะสร้างคอนเนคชันกันไป