ขณะนี้มีหน่วยรอขายอยู่ 157,730 หน่วย แต่ส่วนมากจะสร้างเสร็จในปี 2557 แต่หากรวมบ้านทั้งหมด ยังมีที่สร้างไม่เสร็จอีกเกือบ 200,000 หน่วย น่าจะงัดมาตรการคุ้มครองเงินดาวน์ของคู่สัญญามาใช้เพื่อความมั่นคงของตลาดในระยะยาว
          ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่าในขณะนี้มีหน่วยขายรอการขายอยู่ทั้งหมด 157,730 หน่วยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนหน่วยขายนี้ยังไม่มากนัก เพราะมีสัดส่วนราว 3.3% ของจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่มีอยู่ทั้งหมด แต่หากเกินกว่านี้ คือประมาณ 5% ก็จะถือว่าสูงเกินไป เช่นในช่วงปี 2540-2542 มีหน่วยรอการขาย 150,000 หน่วย แต่มีหน่วยที่อยู่อาศัยรวมกันเพียง 3.1 ล้านบาท หรือ 5% ซึ่งถือว่าสูงมาก อยู่ในภาวะล้นตลาดอย่างหนักในขณะนั้น
          ในจำนวนหน่วยขายที่รอขายอยู่ 157,730 หน่วยนี้ ไม่ใช่หน่วยที่ขายไม่ออก แต่เป็นหน่วยขายที่รอการขายอยู่เท่านั้น คือ ณ ห้วงเวลาของการสำรวจยังไม่ได้ขาย บางโครงการก็เพิ่งเปิดขายไม่นาน จึงยังขายไม่หมด แต่บางโครงการก็เปิดขายมานานแล้ว มีปัญหาขายไม่ได้จริง ๆ  แต่ก็ถือว่าตัวเลขจำนวนนี้ ไม่ใช่หน่วยที่ประสบปัญหาในการขายโดยตรงจนต้องล้มเลิกไปกลางคัน
          เมื่อเจาะลึกในรายละเอียดจะพบว่า หน่วยที่รอขาย 157,730 หน่วยนี้ ปรากฏว่าเป็นหน่วยขายที่สร้างเสร็จก่อนขายเพียง 24,030 หน่วย หรือ หรือ 15% เท่านั้น นอกนั้นยังสร้างไม่เสร็จ ที่เสร็จเกิน 80% จนถึงเกือบสมบูรณ์แล้วมีอีก 30,395 หน่วย หรือ 19% ดังนั้นหากตลาดที่อยู่อาศ้ยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเกิดปัญหาวิกฤติขึ้นมา จำนวน 34% หรือหนึ่งในสามของทั้งตลาดที่เสร็จเกิน 80% แล้วน่าจะรอด เพราะเพียงก่อสร้างอีกไม่มากก็จะสามารถโอนได้แล้ว ส่วนที่เหลืออีกสองในสามของทั้งตลาด ยังจะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอยู่
          อาจกล่าวได้ว่ามีหน่วยขายที่ก่อสร้างได้ไม่ถึง 40% อยู่ราว 60,619 หน่วย หรือ 38% และหากนับถึงที่สร้างได้ไม่ถึง 60% จะมีอยู่รวมกัน 48% หรือครึ่งหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในลักษณะฟองสบู่แตก อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวคงไม่เกิดเนื่องจากในปัจจุบันการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ มีน้อยลง ทุกฝ่ายมีความระมัดระวังมากขึ้น ยกเว้นการอำนวยสินเชื่อของสถาบันการเงินบางส่วนที่ปล่อยสินเชื่อถึง 100% หรือมากกว่านั้น ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงประการหนึ่ง
          หากพิจารณาจากปีที่จะสร้างเสร็จจะพบว่าในจำนวนหน่วยรอการขาย 157,730 หน่วยนี้ มี
          - หน่วยที่สร้างเสร็จก่อนปี 2557 จำนวน 17,292 หน่วย หรือ 11%
          - หน่วยที่จะสร้างเสร็จในปี 2557 จำนวน 70,47 หน่วย หรือ 45%
          - หน่วยที่จะสร้างเสร็จในปี 2558 จำนวน 38,918 หน่วย หรือ 25%
          - หน่วยที่จะสร้างเสร็จในปี 2559 จำนวน 20,960 หน่วย หรือ 13%
          - นอกนั้นจะเสร็จในปี 2560 ขึ้นไป จำนวน 10,187 หน่วย หรือ 6%
          ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าการก่อสร้างน่าจะแล้วเสร็จได้โดยไม่เป็นปัญหา และเชื่อว่าจะไม่เกิดวิกฤติที่นำพาให้โครงการไม่สามารถก่อสร้างต่อไป เช่น คงไม่มีวิกฤติแรงงาน วิกฤติวัสดุก่อสร้าง หรือกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจแต่อย่างใด
          อย่างไรก็ตามข้างต้นวิเคราะห์เฉพาะโครงการที่ยังไม่ได้ขาย แต่สำหรับโครงการที่ทั้งขายแล้วและยังไม่ได้ขาย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า ยังมีหน่วยขายที่คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในอนาคตดังนี้
          - หน่วยที่จะสร้างเสร็จในปี 2558 จำนวน 113,780 หน่วย
          - หน่วยที่จะสร้างเสร็จในปี 2559 จำนวน 53,137 หน่วย
          - นอกนั้นจะเสร็จในปี 2560 ขึ้นไป จำนวน 25,296 หน่วย
          ถ้าจะให้มีหลักประกันที่ดี ทางราชการควรให้ผู้ประกอบการทุกรายทำการประกันเงินดาวน์ของผู้ซื้อบ้าน ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อเกิดความมั่นใจ ตลาดก็จะมั่นคง คนจะยิ่งกล้าซื้อบ้านมากขึ้น และเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่ซื้อแล้วหรือจะบ้านอีกนับ 192,163 หน่วยที่ยังสร้างไม่เสร็จอีกด้วย การคุ้มครองนี้อาจต้องเสียเงินประกันบ้าง แต่น่าจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในระยะยาว เป็นการสร้างแบรนด์ในอนาคตให้ทัดเทียมกัน