AREA แถลง ฉบับที่ 146/2557: 26 กันยายน 2557
เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
มีคนถามผมบ่อยมากว่าเมืองไหนน่าอยู่ที่สุดในโลก แม้ผมจะเดินทางไปเยือนทั่วโลกกว่า 150 เมืองมาแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ตอบยากครับ วันนี้เรามาดูก่อนหน่อยว่าเมืองไหนน่าอยู่ที่สุดบ้าง เผื่อจะพัฒนาเมืองของเราให้น่าอยู่เฉกเช่นอารยประเทศบ้าง
การพิจารณาว่าเมืองไหนน่าอยู่นั้นขึ้นอยู่กับความเคยชิน เราอยู่ที่ไหนก็เคยชินที่นั่น แม้ที่นั่นจะไม่น่าอยู่นักก็ตาม เช่น เราอยู่ในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ผู้คนมีโอกาสตกท่อ หรือเจอจี้ปล้น ผู้คนอาจเสียชีวิตเพราะความมักง่ายและความประมาทของผู้อื่นก็ตาม แต่ก็น่าอยู่ เพราะเราอยู่จนเคยชิน ให้ย้ายไปอยู่ในมหานครที่ดี ๆ อื่น ๆ เราก็คงไม่ไป เพราะเราไม่เคยชินนั่นเอง
ความเคยชินนี้ไม่ใช่เรื่องอัตวิสัย แต่หมายรวมถึงเครือข่ายหรือ Network ของเรา หากเราไปอยู่ในมหานครชั้นดีและชั้นนำของโลก แต่ไร้ญาติขาดมิตร เราก็คงเหงาหงอย ไม่น่าอยู่ แต่หากเราอยากหลีกเร้น หนีให้พ้นจากอดีตอันขมขื่น อยากตัดขาดจาก Network ของเราที่เมืองบไทย แล้วปลีกวิเวกไปอยู่ที่อื่น อย่างนี้เราก็จะสามารถมาเริ่มต้นหาว่าเมืองไหนเอ่ยที่น่าอยู่น่าอาศัยที่สุดในโลก
แต่ก่อนที่เราจะไปค้นหาดูว่าเมืองไหนน่าอยู่ เราต้องดูกระเป๋าของเราด้วย ถ้าเราไม่มีเงินสักอย่างเดียว ทุกที่ก็คือ "นรก" ดีๆ นี่เอง เพราะเราคงอยู่อย่างอดอยาก ฝืดเคืองไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเราต้องมีเงินถุงเงินถังเพียงพอที่จะไปใช้ชีวิตที่นั่น หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีงานทำอยู่ที่นั้น ๆ จึงจะสามารถไปอยู่อย่างปรกติสุขได้ หาไม่ก็จะอยู่อย่างไร้ค่า แร้นแค้นและอะไร ๆ ก็ไม่น่าอยู่ไปหมดนั่นเอง
ถ้าเรามี "ปัจจัย" คือเงินทองให้ใช้สอยตามอัตภาพอย่างเพียงพอ เราก็ค่อยมานั่งนึกได้ว่า มีมหานคร นครหรือเมืองหลายต่อหลายแห่งที่น่าอยู่น่าอาศัยในโลกนี้มากกว่ากรุงเทพมหานครของเราเป็นไหนๆ แต่ที่จะยกนี้ไม่ใช่ยกเพื่อข่มเมืองของเราเอง แต่เพื่อให้เมืองของเราได้มีการพัฒนาให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศบ้าง ถ้าไม่ทันรุ่นผม ก็ให้ทันรุ่นต่อๆ ไปเป็นต้น
การอยู่ในนครที่ดีกว่าไทย ย่อมทำให้ไม่อยากกลับประเทศไทย ลองดูอย่างคนไทยที่ไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็คงไม่คิดย้ายกลับประเทศไทย ยกเว้นจะล้มเหลว หรือพอแก่ตัวลงยังมีสมบัติอยู่ในไทย หรืออาจกลับมาพักผ่อนเป็นครั้งคราว แต่ความสะดวกสบายคงสู้ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้ แต่หลายคนก็บอกว่าในสหรัฐอเมริกามีการเหยียดผิว แต่ถ้าเราอยู่ไปนานๆ ความเคยชินก็เยียวยาเราได้
เพื่อนผมที่เรียนหนังสือด้วยกันมา พอย้ายไปสหรัฐอเมริกาก็ตั้งรกรากอยู่ที่นั่นกันเป็นส่วนใหญ่ นี่ถ้าปี พ.ศ.2530 ผมรับคำเชิญจากศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่จะให้ผมไปทำปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดหรือเบิร์กเลย์ ป่านนี้ผมก็คงไม่กลับไทยแล้ว อาจทำงานสอนหนังสือที่นั่น เผลอๆ อาจได้ครอบครัวอยู่ที่นั่น ลูกสาวอาจผมบลอนซ์ หรือไม่ลูกชายอาจผิวดำเป็นเหนียงก็ได้นะครับ
ยิ่งเพื่อนชาวบังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถานของผม เมื่อได้ย้ายไปออสเตรเลีย ก็ยิ่งไม่คิดจะกลับเลย อย่าว่าแต่อื่นไกล แม้ชาวจีนรุ่นปู่ย่าตายายของผมที่ย้ายมาเมืองไทยเมื่อ 70 ปีก่อน ก็ตั้งรกราก ไม่มีใครคิดจะกลับไปอยู่เมืองจีนสักคน ยกเว้นไปเยี่ยม
ที่นี้มาดูเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากการจัดอันดับล่าสุดโดยวารสาร the Economist เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 พบว่า เมืองที่น่าอยู่ที่สุดเรียงตามลำดับดังนี้:
อันดับที่ 1 นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
อันดับที่ 2 กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
อันดับที่ 3 นครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
อันดับที่ 4 นครโตรอนโต ประเทศแคนาดา
อันดับที่ 5 นครอะดีเลด ประเทศออสเตรเลีย
อันดับที่ 5 นครแคลเกอรี ประเทศแคนาดา
อันดับที่ 7 นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
อันดับที่ 8 กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
อันดับที่ 9 นครเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย
อันดับที่ 10 นครโอคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์
จะสังเกตได้ว่าเมืองที่น่าอยู่นั้นอยู่ในประเทศแคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ถึง 8 เมืองซึ่งประเทศทั้งสามนี้เป็นประเทศที่มีประชากรน้อย และมีธรรมชาติที่สวยสดงดงามมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกนั้นคือนครเวียนนาประเทศออสเตรีย และกรุงเฮงซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตามยังมีนครอื่น ๆ ที่น่าอยู่อีกมากมายแม้ในสหรัฐอเมริกาเอง เพียงแต่สำหรับคนไทยจะรู้สึกว่านครต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาไม่ปลอดภัย โดยเป็นเพราะอิทธิพลของภาพยนตร์นั่นเอง
อย่างไรก็ตามในนครที่น่าอยู่เหล่านี้ก็ยังมีคนไร้บ้านหรือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะ หรือในนครเหล่านี้ก็ยังมีย่านที่น่าจะอันตรายในระดับหนึ่ง และยิ่งถ้ามีแหล่งท่องเที่ยว ก็ยังจะพบมิจฉาชีพประจำถิ่นอีกด้วย ซึ่งผู้อยู่อาศัยก็ยังต้องมีความระมัดระวังในการอยู่อาศัย ไม่ใช่จะปลอดภัย 100"%
ในทางตรงกันข้ามนครที่ไม่น่าอยู่ที่สุดก็มี ซึ่งล้วนแต่เป็นนครหรือมหานครที่ไม่มีความสงบสุข ขาดความมั่นคงทางการเมืองเป็นหลัก ได้แก่
อันดับที่ 1 กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย
อันดับที่ 2 กรุงดาการ์ ประเทศบังคลาเทศ
อันดับที่ 3 กรุงพอร์ตมอร์สบี ประเทศปาปัวนิวกีนี
อันดับที่ 4 กรุงลากอส ประเทศไนจีเรีย
อันดับที่ 5 นครการาจี ประเทศปากีสถาน
อันดับที่ 6 กรุงแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย
อันดับที่ 7 กรุงฮาราเร ประเทศซิมบับเว
อันดับที่ 8 กรุงดูอาลา ประเทศคาแมรูน
อันดับที่ 9 กรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย
อันดับที่ 10 กรุงอาบีจาน ประเทศโกตดิวัวร์
สำหรับการให้คะแนนเต็ม 10 นั้น ได้มีการให้คะแนนกันใน 5 ด้านได้แก่
1. ด้านความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่เปราะบางที่สุด โดยเฉพาะด้านภัยสงคราม สำหรับกรุงเทพมหานครในขณะนี้ อาจมีความเปราะบางทางด้านนี้ เพราะอยู่ในช่วงรัฐประหาร ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาน้อยกว่าปกติแทบทุกเดือนแม้หลังรัฐประหารมา 4 เดือนแล้วก็ตาม
2. ด้านบริการสุขภาพ ถ้ามีพร้อมและมีบริการที่ดี หากเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถส่งโรงพยาบาลได้ทัน กรณีนี้จึงเป็นหลักประกันที่สำคัญมากในเมืองที่ไม่น่าอยู่มักมีบริการด้านนี้ที่ตกต่ำถดถอย
3. ด้านวัฒนธรรม เช่น อาคารสถานที่ ๆ น่าสนใจ น่าท่องเที่ยว มีประวัติศาสตร์ที่น่าภูมิใจ รวมทั้งมีสภาพแวดล้อมทางสังคมและธรรมชาติที่น่าอยู่อาศัย
4. ด้านการศึกษา เพื่ออนาคตของลูกหลานของผู้อยู่อาศัย การที่อยู่ในเมืองที่มีการศึกษาดี ประชากรก็ย่อมมีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ดีไปด้วย
5. ด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่ดี เช่น ระบบขนส่งมวลชน รถประจำทาง ทางด่วน รถไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อความสุขสบายแก่ผู้อยู่อาศัยนั่นเอง
อย่างไรก็ตามก็ยังมีเมืองที่น่าสนใจและน่าอยู่อาศัยอีกหลายเมือง เช่น กรุงโตเกียว ญี่ปุ่นสิงคโปร์ นครซูริก สวิตเซอร์แลนด์ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน นครมิวนิก เยอรมนี กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก กรุงโซล เกาหลีใต้ เป็นต้น ใครอยากไปอยู่เมืองไหนก็แล้วแต่อัธยาศัย จากประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่อว่าเมืองหลายๆ แห่งในเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์และสแกนดิเนเวียน่าอยู่มาก แต่บางคนอาจไม่ชอบโดยเฉพาะในเยอรมนีที่ต่างคนต่างจริงจังมาก อัธยาศัยไมตรีอาจต่างจากคนไทยไปบ้าง เป็นต้น
แต่ถึงแม้เมืองที่น่าอยู่ทั้งหลาย จะเป็นเหมือนสรวงสวรรค์ก็ตาม แต่บางครั้งก็เป็นเหมือนสวรรค์ที่ไม่ค่อยมีความสุข (unhappy paradise) เพราะกฎระเบียบต่าง ๆ มีชัดเจนตามอารยประเทศ จะมานั่งร้องรำทำเพลง กินเหล้ารบกวนเพื่อนบ้าน คงต้องถูกตำรวจจับ/ปรับกันบ้าง บางครั้งชีวิตก็อาจจะเรียบง่ายและพอเพียงมาก ไม่มีชีวิตกลางคืน ต่างจากกรุงเทพมหานคร หรือเมืองในประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่แม้บางครั้งจะเป็นเสมือน "นรก" แต่ก็กลับเป็นนครที่มีความสุข (happy hell)
เราคงต้องเลือกเอาเอาล่ะครับว่า อยากจะอยู่ happy hell หรือ unhappy paradise!!!
ขี่สองล้อท่องนครโตรอนโต แต่ก็มีบางบริเวณที่ต้องระวังเช่นกัน
นครโอ๊คแลนด์ก็น่าอยู่อากาศดีมาก แต่ก็ยังมีการประท้วงกันบ้าง
ซิดนีย์เป็นนครที่มีผู้ไปตั้งรกรากแบบกู่ไม่กลับจำนวนมหาศาล
กรุงเวียนนามีอารยธรรมที่น่าประทับใจยิ่ง แต่ก็ยังมีคนไร้บ้านอยู่
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน
|