อ่าน 1,921 คน
AREA แถลง ฉบับที่ 148/2557: 30 กันยายน 2557
สลัม... ความจริงที่ถูกปิดบัง

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th

          เมื่อเอ่ยถึงสลัมหรือชุมชนแออัด เรามักจะนึกถึงภาพคนจน คนอพยพ คนด้อยโอกาส และการขยายตัวดั่งเชื้อร้าย ความจริงต่อไปนี้ บางท่านอาจช็อคเพราะหักล้างกับความเชื่อเดิม ๆ ซึ่งมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังได้พยายามปกปิด บิดเบือนไม่ให้สาธารณะชนได้รู้ความจริง

สลัมลดน้อยลง
          ตอนที่ผมซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นพบสลัม 1,020 แห่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (กทป.) เมื่อปี 2528 นั้น ไทยรัฐลงหน้าหนึ่งเลย <1> เพราะผู้คนตกใจที่ทำไมมีสลัมมากมายโดยที่ทางการไม่เคยสำรวจพบมาก่อน แต่ความจริง นั่นเป็นเพียง 27% ของบ้านทั้งหมดใน กทป. ณ เวลานั้น เมื่อย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 เฉพาะในกรุงเทพฯ มีบ้านที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (สมควรรื้อทิ้ง) หรืออนุมานว่าเป็นสลัมอยู่ถึง 43% ของบ้านทั้งหมดด้วยซ้ำ <2> และ ณ ปี 2543 สลัมเหลือเพียง 5.8% ใน กทป. (191,090 หน่วย <3> จากที่อยู่อาศัย 3,292,442 หน่วยทั่ว กทป. <4>) และ ณ ปี 2548 สัดส่วนของสลัมต่อที่อยู่อาศัยทั้งหมดใน กทป. ก็คงลดน้อยไปกว่านี้อีกเนื่องจากการรื้อถอนสวนทางกับการเพิ่มขึ้นของบ้านจัดสรร และอาคารชุดทั้งหลาย <5>
          ความจริงแล้วผมค้นพบว่าสลัมใน กทป. ลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2536 <6> จนกระทั่งทางสหประชาชาติโดย ILO ได้เผยแพร่ให้เป็นกรณีศึกษาของโลกที่ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณสลัมลงได้ แต่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้ได้รับการเผยแพร่เพียงน้อยนิดทั้งในระดับสากลและโดยเฉพาะในประเทศไทย เนื่องจากกระแสหลักก็คือการพยายามทำให้สังคมเชื่อว่าสลัมมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพื่อที่ “นายหน้าค้าความจน” ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จะได้ใช้เป็นเครื่องมือหางบประมาณมาสร้างผลงาน มาหาเลี้ยงชีพส่วนตัว หรือมาโกงกินกันต่อไป

คนสลัมไม่ใช่คนจน
          ในประเทศไทยมีคนจน (บุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน <7>) อยู่ประมาณ 10% <8> หรือประมาณ 6.2 ล้านคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท ดังนั้นสัดส่วนของคนจนใน กทป. จึงน่าจะมีน้อยกว่า 10% หากประมาณการว่าเป็นแค่ 5% กทป. ที่มีประชากร 9,636,541 คน <9> ก็จะมีคนจนเพียง 481,827 คน ในขณะที่คนสลัมใน กทป. มี 1,486,700 คน <10> ยิ่งกว่านั้นคนจนใน กทป. จำนวน 481,827 คนดังกล่าว ก็หาได้อยู่เพียงในสลัมไม่ พวกเขายังอาจเร่ร่อนอยู่ทั่วไป อยู่ในหอพักคนงาน เป็นคนใช้ตามบ้าน เป็นแรงงานก่อสร้าง ฯลฯ ดังนั้นอาจอนุมานได้ว่า คนสลัมที่จนจริง ๆ นั้นมีเพียงน้อยนิด
          ความจริงข้างต้นอาจดูน่าฉงน ลองมาตรองดู คนสลัมส่วนมากมีบ้านเป็นของตนเองบนที่ดินเช่า (เป็นส่วนใหญ่) ในราคาแสนถูก หรือไม่ก็บุกรุกที่ดินคนอื่นฟรี ๆ แล้วสร้างบ้าน (เป็นส่วนน้อย) การมีบ้านสะท้อนฐานะที่ชัดเจน เพราะถ้าต้องเช่าบ้าน ค่าเช่าอย่างน้อยก็เป็นเงิน 1,500 บาทต่อห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ถ้าเช่าบ้านสลัมทั้งหลังคงไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท ถ้าเราเอาค่าเช่ามาแปลงเป็นมูลค่า ณ อัตราผลตอบแทน 8% ต่อปี ก็จะเป็นเงิน 375,000 บาทต่อหลัง (2,500 x 12 / 8%) นี่คือเครื่องแสดงฐานะของชาวสลัมโดยเฉลี่ย
          ดังนั้นที่อ้างกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่าชาวสลัมยากจนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีมูล อาจถือเป็นคน “อยากจน” เพื่อผลประโยชน์บางอย่างมากกว่า

คนสลัมไม่ใช่ผลพวงของการย้ายถิ่น
          เราเข้าใจผิดว่า คนจนในชนบทย้ายมาอยู่ กทป. โดยเฉพาะสลัม ผมเคยค้นพบไว้เมื่อปี 2536 ว่า ณ ปี 2533 <11> การย้ายถิ่นส่วนใหญ่ ย้ายระหว่างชนบทสู่ชนบท ไม่ใช่เข้าเมือง ที่ย้ายเข้าเมืองเป็นเพียงส่วนน้อย (22%) โดยสรุปแล้วอาจกล่าวได้ว่า
          1. ผู้ที่ย้ายถิ่นส่วนใหญ่ย้ายระหว่างชนบทสู่ชนบท ไม่ใช่เข้าเมืองอย่างที่เข้าใจกัน
          2. เฉพาะผู้ที่ย้ายเข้าเมือง ก็ไม่ใช่ว่ามา กทป. เป็นส่วนใหญ่
          3. เฉพาะผู้ที่เข้ามา กทป. ก็ไม่ใช่มีแต่คนยากจน กลุ่มอื่นที่ย้ายก็ได้แก่ผู้ที่มาศึกษาต่อ เป็นข้าราชการ ฯลฯ
          4. เฉพาะคนจนที่ย้ายเข้า กทป. ก็ใช่มาอยู่แต่ในสลัม ยังมีบ้านเช่าราคาถูกนอกสลัมอยู่มากมาย หรือบ้างก็เป็นคนรับใช้ในบ้าน เป็นสาวโรงงาน ฯลฯ
          5. เฉพาะคนจนที่ย้ายเข้าในสลัม ส่วนมากก็เพียงมาอยู่ชั่วคราว ไม่คิดปักหลักแต่อย่างใด <12>

          ท่านเชื่อหรือไม่ว่าความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดแบบ “เส้นผมบังภูเขา” กล่าวคือ ในการสำรวจทางสังคมศาสตร์ เรามักจะหาข้อมูลจากแต่หัวหน้าครัวเรือน ในปี 2528 ทางราชการได้สำรวจครัวเรือนสลัมถึง 3,594 ครัวเรือนใน กทป. แล้วพบว่า 59% ของหัวหน้าครัวเรือนเกิดต่างจังหวัด แต่เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปตรวจสอบแบบสอบถามดังกล่าว กลับพบว่า ส่วนใหญ่ (65%) ของประชากรสลัม (หัวหน้า คู่ครองและสมาชิกครัวเรือนด้วย) เกิดใน กทป.เอง <13>

คนจะดีอยู่ที่ตัวเอง
          สาเหตุที่สลัมลดลงเพราะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ประชากรมีรายได้มากขึ้น มีบ้านในตลาดเปิดให้ซื้อหาในราคาย่อมเยา ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากประเทศเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เศรษฐกิจของไทย ณ ปี 2494 มีฐานจากเกษตรกรรมถึง 38% แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงประมาณ 10% กลับกันภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจาก 13% เป็นประมาณเกือบ 40% ในปัจจุบัน <14>
          ในประเทศอินเดีย มีสลัมอยู่ทั่วไป ผู้คนนอนข้างถนนก็ยังมี ที่เมืองกัลกัตตา (Kolkata) มีแม่ชีเทเรซ่า <15> อุทิศตนช่วยเหลือชาวสลัมจนชีวิตหาไม่ ท่านเป็นผู้สูงส่งโดยแท้ แต่ผมก็ขออนุญาตแสดงความเห็นด้วยความเคารพว่า ต่อให้มีแม่ชีเทเรซ่านับพันท่าน ก็ทำให้สลัมในอินเดียลดน้อยถอยลงไปได้ เพราะสลัมไม่ได้ลดเพราะการช่วยเหลือเหล่านี้ เราจึงควรพิจารณาให้ดีว่าการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ผ่านมาต่อชาวสลัม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียงการช่วยให้ใครบางคนได้มีโอกาสทำงานไต่เต้า (แทนที่ต้องไปทำงานอื่น) หรือได้มีโอกาสโกงกินมากกว่าหรือไม่
          คนที่พอใจกับการอยู่สลัมนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอยู่มานานจึงเคยชิน แต่คนสลัมปกติอยากย้ายออกเมื่อมีโอกาส เพื่อให้ลูกหลานมีสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม อย่างสลัมคลองเตย ยิ่งพัฒนา ยาเสพติดยิ่งมาก ลองคิดดูว่า ถ้าคนเราอยู่ในสลัมมา 20-30 ปีโดยไม่ย้ายออกไปเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะโชคชะตาอาภัพ ทำดีไม่ได้ดี แต่อีกด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ หลายคนอาจขาดความตั้งใจที่จะดี มีเงินก็เอาไปทางอบายมุขหมด
          อย่างไรก็ตามควรบันทึกไว้ว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีชาวสลัม 2 คนที่เด่นล้ำเหนือคนไทยเกือบทั้งหมด คนหนึ่งคือ ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ท่านสมาชิกวุฒิสภา อีกคนหนึ่งคือ “นายภาพ 70 ไร่” <16> ผู้ถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติด ทั้งสองท่านนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างชัดเจนและสามารถย้ายออกจากสลัมได้ในที่สุด

ข้อสังเกตส่งท้ายเรื่องข้อมูล
          มีสิ่งที่พึงสังเกตประการหนึ่งก็คือ มีการพยายามเอาข้อมูลมาบิดเบือนเพื่อประโยชน์บางประการ เช่นเมื่อจะหาเหตุสร้างบ้านมั่นคง และบ้านเอื้ออาทร ทางราชการก็อ้างว่า ในประเทศไทยมีการบุกรุกที่ดินถึง 5,000 ชุมชน รวม 1.6 ล้านครอบครัว<17> เพื่อให้เห็นว่า มีความต้องการบ้านเป็นจำนวนมาก (ซึ่งไม่จริง) ผมเคยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546 ว่า “(ผมได้พบโดยการทำการสำรวจทั่วประเทศว่า) มีสลัมทั้งหมด 1,589 ชุมชน มีประชากร 1.8 ล้านคน หรือราว 3% ของคนไทยเท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นชุมชนเช่าที่ปลูกบ้านและชุมชนเจ้าของบ้านพร้อมที่ดิน ชุมชนบุกรุกมีเพียงส่วนน้อยมาก <18>
          ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ในช่วงระยะ 20 ปีที่ผ่านมา มีการสำรวจสลัมและเผยแพร่น้อยมาก แสดงว่าเราไม่ได้บริหารงานด้วยข้อมูล โดยหลักแล้วก่อนจะทำอะไรอย่างมืออาชีพต้องศึกษาให้ละเอียด ชัดเจน ดังนั้นการไม่ใช้ข้อมูลที่เป็นจริงในการบริหารหรือวางนโยบายและแผนอย่างเหมาะสม อาจสะท้อนความไม่ชอบมาพากลบางประการ ซึ่งควรได้รับการตรวจสอบ่
          ประเทศไทยจะเจริญอย่างยั่งยืนได้ต้องสำรวจวิจัยและเผยแพร่ให้การศึกษาแก่ประชาชน ได้รู้ความจริงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ปิดหูปิดตาประชาชนเพื่อประโยชน์อันมิชอบ

หมายเหตุ
<1> ค้นหาเอกสารไม่พบแต่เป็นในช่วงเดียวกับที่ลงฉบับภาษาอังกฤษ “1020 Bangkok Slums: A New Survey” ซึ่งลงใน Bangkok Post และ The Nation Review, 9 มิถุนายน 2528 หน้า 2
<2> จากการศึกษาของคณะผู้เชี่ยวชาญอเมริกันในการวางผังเมืองฉบับแรกของกรุงเทพมหานคร Litchfield Whiting Browne and Associates et.al. (1960). Greater Bangkok Plan B.E. 2533 (1990). Bangkok: Department of Town and Country Planning หน้า 84 
<3> Global Report on Human Settlements 2003, City Report: Bangkok ซึ่งผู้เขียนได้รับการมอบหมายจากองค์การสหประชาชาติ (UNCHS) ทำการศึกษาไว้
<4> ข้อมูลจากกรมการปกครอง http://www.dopa.go.th/xstat/pop43_1.html
<5> หากตั้งสมมติฐานว่าสลัมไม่มีเพิ่มแต่ลดลงอีก 10% เพราะการไล่รื้อ ในขณะที่ที่อยู่อาศัยทั้งหมดใน กทม.และปริมณฑลมีอยู่ 3,722,364 หน่วย (มากกว่าปี 2547 อีก 2%) สัดส่วนของสลัมจะเหลือเพียง 4.8% เท่านั้น
<6> Pornchokchai, Sopon (1998). "The future of slums and their employment implications: the case of Bangkok (conducted in 1993)" in Tatsuru Akimoto (1998). Shrinkage of Urban Slums in Asia and Their Employment Aspects. Bangkok: ILO Regional Office for Asia and the Pacific. 
<7> โปรดดูคำอธิบายและการอภิปรายเกี่ยวกับเส้นความยากจนได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Poverty_line
<8> จากข้อมูลที่รวบรวมโดยซีไอเอ http://www.cia.gov/cia/publications/factbook/geos/th.html#Eco
<9> ข้อมูลจากกรมการปกครอง http://isc.dopa.go.th/xstat/pop47_1.html
<10> รายงานฉบับเดียวกันที่อ้างตาม ข้อ <3>
<11> รายงานฉบับเดียวกันที่อ้างตาม ข้อ <6> หน้า 427
<12> เป็นผลการศึกษาตั้งแต่ปี 2522 และ 2525 แล้ว แต่ไม่ได้รับการเผยแพร่เท่าที่ควร ผู้เขียนได้อ้างอิงการศึกษาไว้หลายชิ้นใน Pornchokchai, Sopon (1992). Bangkok Slums: Review and Recommendations. Bangkok: Agency for Real Estate Affairs หน้า 79
<13> Pornchokchai, Sopon (1992). Bangkok Slums: Review and Recommendations. Bangkok: Agency for Real Estate Affairs หน้า 80
<14> โปรดดูรายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีประชาชาติที่ http://www.nesdb.go.th/econSocial/macro/nad.htm
<15> รายละเอียดเกี่ยวกับแม่ชีชาวอิตาลีผู้อุทิศตนแก่ชาวสลัมในกัลกัตตา ดูได้ที่ http://www.motherteresacause.info
<16> อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับนายสยาม ทรัพย์วรสิทธิ์ หรือสุภาพ สีแดง อายุ 36 ปี หรือรู้จักกันในนาม "ภาพ 70 ไร่" ได้ที่ http://www.thairath.co.th/thairath1/2548/page1/sep/14/p1_7.php
<17> กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 7 มกราคม 2546 หน้า 10
<18> จดหมายถึงนายกรัฐมนตรีดูได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/letter/letter06.htm


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved