เล่นบิทคอยน์หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์
  AREA แถลง ฉบับที่ 525/2567: วันอังคารที่ 18 มิถุนายน 2567

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            เราจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือเล่นบิทคอยน์ อย่างไหนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน ความเสี่ยงอย่างไหนมากกว่ากัน โอกาสและอนาคตจะเป็นอย่างไร

            การเล่นบิทคอยน์ถือเป็นเกมใหม่ที่เข้ากันได้กับคนหนุ่มสาว เพราะมีกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับกฎ-กติกาใหม่ๆ ที่อาศัยคอมพิวเตอร์ในการประมวลผล มีลูกเล่นมากมายให้ดูทันสมัย สมกับการเป็นคนหนุ่มสาว ใครไม่เล่นอาจจะดูเชย ตกยุค เลยชักจูงกันมาซื้อๆ ขายๆ เก็งกำไรไปวันๆ นั่งวิเคราะห์ราคากันไปเสมือนจะทำนายราคาได้จริง (แต่มักจะคาดการณ์ผิด) แต่ในอีกแง่หนึ่งบิทคอยน์ใช่ว่าจะเหมาะสมกับคนหนุ่มสาวเพราะอาจไม่ได้สร้างมูลค่าใดๆ

            ประเด็นสำคัญประการหนึ่งของการทรงคุณค่าหรือมีมูลค่าที่แท้ของสิ่งใด ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการอยู่อาศัย เป็นสำคัญ เป็นศูนย์การค้า ฯลฯ แต่บิทคอยน์เขาถือเป็นแค่ “เงิน” ที่ไม่ได้มีคุณสมบัติแบบนี้ ในอินเดียที่รัฐปัญจาบ ซึ่งเป็นทางผ่านที่กองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช หรือเจงกิสข่านที่มาตีอินเดีย ต้องผ่านรัฐนี้ ผู้คนได้สรุปบทเรียนจากสงครามว่า ผู้ชนะอาจขนเงินทองหรือทรัพย์สินอื่นรวมทั้งบผู้คนไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เอาไปไม่ได้ก็คืออสังหาริมทรัพย์ พวกแขกซิกข์ที่มารวยในกรุงเทพมหานครจึงมักสร้างอะพาร์ตเมนต์หรือห้องชุดเก็บไว้มากมาย

            หากพิจารณาในแง่ของหุ้น ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเบื้องหลัง ซึ่งก็คือการดำเนินกิจการของวิสาหกิจนั้นๆ ในการวิเคราะห์หุ้นจึงวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐานซึ่งเป็นประเมินเพื่อหามูลค่าหุ้นโดยการวิเคราะห์ตัวแปร เช่น ข้อมูลงบการเงิน อัตราส่วนกำไร เงินเฟ้อ นโยบายทางการเงินของรัฐ เป็นต้น เพื่อดูว่าราคาหุ้นนั้นควรเป็นเท่าไหร่ ราคาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้สูงหรือต่ำเกินไปหรือไม่

            แต่ในการวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ราคาบิทคอยน์ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นสำคัญ เพื่อประเมินดูทิศทางความเป็นไปได้ของราคาในอนาคต (อันใกล้) เช่นอาจเป็นรูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Pattern) โดยพิจารณา "แนวรับ-แนวต้าน" และการวิเคราะห์รูปแบบกราฟราคา (Chart Pattern) ซึ่งใช้เส้นแนวโน้มต่างๆ รวมทั้งการใช้เครื่องชี้วัดแบบ "ค่าเฉลี่ยของราคา" (Moving Average)

 

 

            ในวงการอสังหาริมทรัพย์ เช่น ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ก็ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการคาดการณ์การฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แสดงถึงการฟื้นตัวหลังช่วงโควิด-19 โดยวิเคราะห์ได้ว่าจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ (y) จะเท่ากับ 0.3406x^2 – 10.79x +101.07 โดยที่ค่า R^2 อยู่ที่ 0.9395 (ซึ่งเชื่อถือได้สูงมาก) ซึ่งในห้วงที่ผ่านมาการฟื้นตัวก็ออกมาในลักษณะนี้จริง (ดูแผนภูมิ)

            อย่างไรก็ตามหากนำมาวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์จะทำไม่ได้เพราะมีการแกว่งตัวของราคาสูงมาก ปกติแล้วในการวิเคราะห์ความเสี่ยงอาจดูจากว่า ในวันที่ราคาต่ำสุดซึ่งคงเป็นราววันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 บิทคอยน์มีราคาที่ 593,132.00 บาท และหลังจากนั้น ราคาก็เพิ่มขึ้นโดยตลอด โดยราคาที่สูงที่สุดในช่วงวันที่ 8 เมษายน 2567 อยู่ที่ 2,671,034.16 บาท ในระหว่าง 505 วันนี้ หากเฉลี่ยราคาก็จะอยู่ที่ 1,381,344.21 บาท ในขณะที่ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 590,923.54 ทำให้ความเสี่ยงสูงถึง 43% (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน/ค่าเฉลี่ย) ซึ่งผู้เล่นพึงระวัง

            ในอีกแง่มุมหนึ่ง หากพิจารณาจากว่าราคาสูงสุดในอดีตครั้งก่อนหน้าที่ 2,079,989.48 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 มาผ่านจุดสูงสุดใหม่ จนถึงปัจจุบัน (8 พฤษภาคม 2567) ณ ราคา 2,321,080.19 บาท ในระยะเวลา 912 วันหรือ 2.5 ปี ก็เท่ากับราคาเพิ่มขึ้นปีละ 4.49% ซึ่งก็ไม่ได้มากไปกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านมากนัก ยิ่งกว่านั้นในกรณีบ้านและห้องชุด หากปล่อยเช่าหรืออยู่เอง ก็ยังถือว่าได้ค่าเช่าอีกปีละ 4-5% ดังนั้นผลตอบแทนจากบ้านทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาและการให้เช่า จึงสูงกว่าบิทคอยน์เสียอีก

            ผู้ถือบิทคอยน์จำนวน 1% ครองส่วนแบ่งตลาดไว้ถึง 90% จึงทำให้ราคาหุ้นถูกพวกรายใหญ่ๆ กำหนด เสมือนการปั่นหุ้น ส่วนรายเล็กรายน้อยที่คิดจะวิเคราะห์ทิศทางราคาของบิทคอยน์ ก็คงได้แต่คาดเดาเอาตามลูกแก้ว (แบบแม่มด) หรือลางสังหรณ์ (แบบพวกหมอดู) วิเคราะห์อย่างไรก็คงอาจถูกได้แบบเล่น “ปั่นแปะ” (ไม่ผิดก็ถูกสลับกันไปแบบไร้กฎเกณฑ์ จะสังเกตได้ว่าพวกกูรู อาจารย์และผู้รู้ในวงการชังจูงให้เล่นบิทคอยน์ก็คงได้แก่เก็งกำไรระยะสั้นๆ ไม่ได้ซื้อเก็บตามที่ตนเองโฆษณาชวนเชื่อ

            คนเล่นบิทคอยน์ส่วนมากจะน่าจะเป็นแมงเม่า เช่น มุ่งไปที่การขึ้นของราคาแล้วรีบซื้อ (กลัวตกรถ) ไม่วิเคราะห์อนาคตเท่าที่ควร เข้าทำนอง “มองไกลแค่ปลายจมูก” ชอบแห่ตามๆ กันไป แบบ “เฮไหนเฮนั่น” โดยเฉพาะซื้อตามคำแนะนำของพวกกูรูในวงการบิทคอยน์โดยหารู้ไม่ว่าเป็น “ราคาดอย” แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ไม่ชอบทำการบ้าน ชอบลุยสดๆ โดยดูจาก “ลูกแก้วและลางสังหรณ์” เน้นเล่นเก็งกำไรระยะสั้นเข้าๆ ออกๆ เป็นสำคัญ  ในวงการบิทคอยน์จะมีแมงเม่ามากกว่าตลาดหุ้น เพราะราคาถูกๆ (ซื้อแค่ไม่กี่ซาโตชิ) คนหนุ่มสาวที่มีรายได้น้อยก็ลงทุนได้ (จากการโหมโฆษณาชวนเชื่อของพวกชักจูง) แถมอาจสนุกและตื่นเต้นดีเหมือนเล่นเกมส์

            หากมองบิทคอยน์เป็นเงิน เงินประเมินค่าได้อย่างไรบ้าง สกุลเงินต่างๆ ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง ความขัดแย้งระหว่างประเทศ (หรือไม่) การเก็งกำไรค่าเงิน นโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง ดุลการค้าของแต่ละประเทศแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้นบิทคอยน์ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้จึงไม่ใช่เงิน เป็นเพียงเกมหรือแชร์ลูกโซ่

            ถ้าจะให้เทียบบิทคอยน์กับทองที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ บิทคอยน์ก็ไม่ใช่ทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ (ไม่ใช่สกุลเงิน) ที่มีมูลค่ามาเป็นเวลานานถึง 40,000 ปีมาแล้ว และมักถูกใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะตลาดตกต่ำ  ส่วนบิทคอยน์ ยังใหม่มาก ใช้ในวงจำกัด และยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นการลงทุนเว้นแต่เป็นที่ชุมนุมของนักเก็งกำไรสกุลเงินดิจิทัลนี้เท่านั้น

            เงินทั้งหลายสามารถแข็งหรืออ่อนค่าได้ ไม่ใช่ตายตัว เช่น ในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโต อัตราเงินเฟ้อต่ำ และมีเสถียรภาพทางการเมือง นักลงทุนต่างชาติก็สนใจลงทุนในธุรกิจและทรัพย์สินของประเทศนี้ ทำให้สกุลเงินของประเทศนี้มีค่าสูง แต่เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่งที่มีภาวะแข็งค่าเงิน ก็จะทำให้ประเทศดังกล่าวส่งออกสินค้าได้ยากขึ้น (แต่นำเข้าสินค้าได้ถูกลง) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศจนต้องลดค่าเงินลงในที่สุด ดังนั้นหากเห็นว่ามีความจำเป็นต้องมีการอ่อนค่าของสกุลเงินเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการค้า ก็แสดงว่าเงินมีมูลค่าสูงเกินจริง เป็นต้น

            สำหรับบิทคอยน์ที่มีอยู่ 21 ล้านเหรียญนั้น ค่อนข้างตายตัว ผู้ที่ขุดได้ (โดยทำลายสิ่งแวดล้อมไปด้วยเพราะใช้ไฟเปลืองมาก) ก็จะครองโลกได้ในที่สุด อย่างนายซาโตชิยังถืออยู่ 1.1 ล้านเหรียญ หรือ 5% ของทั้งโลก ซึ่งในสมัยเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช หรือจูเลียสซีซาร์ยังคงไม่สามารถถือทรัพย์สินมากเท่านี้ ผู้ที่มีโอกาสและความสามารถน้อยก็คงตกเป็นทาสเป็นเบี้ยล่างหรือประชาชนชั้นสองหรือสามหรือสี่ในสังคมบิทคอยน์ (ซึ่งเป็นความฝันที่คงมาไม่ถึงแน่)

            โดยสรุปแล้ว ถ้าเราเป็นคนหนุ่มสาว ยังมีเงินไม่มาก ก็อาจเล่นหุ้นปันผลที่ดี ซื้อพันธบัตรรฐบาล ซื้อกองทุนต่างๆ เพื่อสะสมให้พร้อมแล้วไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น่าจะมั่นคงและมีอนาคตมากกว่า

อ่าน 967 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved