บิทคอยน์และ Lightning Network: ความล้มเหลวอย่างย้อนแย้ง
  AREA แถลง ฉบับที่ 547/2567: วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน 2567

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            มีผู้ส่งบทความมาให้ผม เขากลัวพวกคลั่งบิทคอยน์ด่า พวกนี้ที่อาจเป็นสมุนอาชญากรที่พยายามส่งเสริมบิทคอยน์เพื่อเป็นช่องทางผ่องถ่ายเงินของพวกอาชญากร แต่ผมไม่กลัวแปดเปื้อน จึงขอนำมาลง

            ผมเขียนบทความต่อต้านการเล่นบิทคอยน์เป็นระยะๆ ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ ลงทุนในทางอื่นน่าจะดีกว่า มั่นคงกว่า และไม่โลภมากขนาดที่จะหวังกำไรจากการเก็งกำไรอย่างไร้สาระไปวันๆ วันนี้ก็มีผู้ที่เห็นด้วย กรุณาเขียนบทความมาช่วยให้ความรู้ ผมจึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บิทคอยน์ได้รับการยกย่องว่าเป็นนวัตกรรมที่จะปฏิวัติระบบการเงินทั่วโลก ด้วยมีคำมั่นสัญญาที่จะนำเสนอเครือข่ายการชำระเงินแบบกระจายอำนาจ ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินแบบรวมศูนย์ ผู้สนับสนุน บิทคอยน์อ้างว่ามันจะปลดปล่อยเราจากข้อจำกัดและความไม่เท่าเทียมของระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อมองลึกลงไปกว่าคำโฆษณาชวนเชื่อและกระแสตื่นเต้นเหล่านี้ ความจริงที่ปรากฏคือเทคโนโลยีที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบรรลุวิสัยทัศน์ที่วางไว้

            หนึ่งในข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดของบิทคอยน์ คือความล้มเหลวในการรองรับการใช้งานในวงกว้าง เนื่องจากข้อจำกัดด้านการปรับขยายของเครือข่าย เมื่อจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น บิทคอยน์ก็ไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วหรือมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ย่ำแย่ จนทำให้ไม่สามารถใช้เป็นสกุลเงินในชีวิตประจำวันได้ แต่กลายเป็นแค่เครื่องมือเก็งกำไรสำหรับผู้ที่มั่งคั่ง ซึ่งย้อนแย้งกับหลักการของการเป็นระบบการเงินที่เป็นประชาธิปไตยและเข้าถึงได้โดยทุกคน

            และเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงได้ทุกคน เพราะในขณะนี้ 90% ของบิทคอยน์ถือครองโดยคนเพียง 1% เท่านั้น และเหลือบิทคอยน์อีกไม่มากในการขุดต่อไป ยิ่งกว่านั้นนายซาโตชิ นากาโมโตะก็เก็บบิทคอยน์ไว้เองอีก 1.1 ล้านเหรียญ เท่ากับว่าผู้ที่ครองบิทคอยน์อยู่ในเวลานี้จะเป็นเสมือน “เจ้า” ที่ครอบครองทรัพย์สินทั้งหลายในโลก เช่นกรณีนายซาโตชิที่ถือบิทคอยน์ไว้ 1.1 ล้านเหรียญหรือ 5% ของทั้งหมด ถ้าระบบการเงินโลกล้มเหลวเหลือแต่บิทคอยน์ก็เท่ากับว่านายคนนี้ครองเงินมากที่สุดในโลก

            ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามที่จะแก้ปัญหาการปรับขยายผ่าน Lightning Network ก็นำไปสู่ความย้อนแย้งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก Lightning Network ซึ่งเป็นโซลูชันเลเยอร์สองที่สัญญาว่าจะทำให้ธุรกรรมเร็วขึ้นและถูกลง กลับสร้างโครงสร้างที่รวมศูนย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับอุดมการณ์แบบกระจายอำนาจของบิทคอยน์ โหนดขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรจำนวนมากกลายเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย ผูกขาดเส้นทางการชำระเงิน ผู้ใช้รายย่อยและโหนดขนาดเล็กมีทางเลือกน้อยนอกจากต้องพึ่งพายักษ์ใหญ่เหล่านี้เพื่อทำธุรกรรม ซึ่งทำให้เกิดระบบลำดับชั้นและความไม่เท่าเทียมแบบเดียวกับที่บิทคอยน์ ต้องการขจัดตั้งแต่แรก

            แม้ว่า Lightning Network จะมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าการทำธุรกรรมแบบปกติบนบิทคอยน์ อยู่บ้างแต่ก็ยังคงถือว่ามีค่าธรรมเนียมอยู่ดี ซึ่งแตกต่างจากการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ ที่ไม่เพียงแต่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเท่านั้นที่นิยมใช้ แต่ยังรวมไปถึงประชาชนทั่วไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินให้ลูกหลานไปโรงเรียน จ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสินค้าออนไลน์ ตลอดจนการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันต่างๆ ล้วนทำได้ผ่านพร้อมเพย์ทั้งสิ้น โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแม้แต่บาทเดียวเหมือน Lightning Network และยังสะดวกรวดเร็วในทันทีอีกด้วย

            ในขณะที่ Lightning Network อาจมีข้อดีอยู่บ้างในการโอนเงินข้ามประเทศด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูก ซึ่งอาจฟังดูน่าสนใจ แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นช่องทางให้อาชญากรอย่างแก๊งค้ายาเสพติดหรือเว็บการพนันใช้ประโยชน์เพื่อโยกย้ายเงินผิดกฎหมายข้ามประเทศโดยไม่ถูกตรวจสอบ สามารถโอนเงินผิดกฎหมายจำนวนมากได้ ความไร้ตัวตนและความเป็นส่วนตัวของ Lightning Network จึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับคนทั่วไป แต่กลับเอื้อให้เหล่าองค์กรอาชญากรรมหลบเลี่ยงการถูกจับตามองและลอยนวลกับการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายมากขึ้น เนื่องจาก Lightning Network นั้นมีความเป็นส่วนตัวสูง โดยที่ธุรกรรมไม่ถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชนหลักของบิทคอยน์ โดยตรง ทำให้การสืบย้อนกลับหรือระบุตัวตนผู้ทำธุรกรรมทำได้ยากกว่า นับเป็นข้อได้เปรียบสำหรับอาชญากรที่ต้องการปกปิดร่องรอยของเงินผิดกฎหมาย

            การที่สามารถทำธุรกรรมข้ามประเทศได้อย่างไร้พรมแดน โดยไม่ผ่านการตรวจสอบหรือควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลใดๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การฟอกเงินข้ามชาติทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น แก๊งอาชญากรหรือองค์กรมืดสามารถโอนเงินข้ามประเทศไปยังสมุนหรือเครือข่ายของตนได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โดยไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากแหล่งใด หรือจะไปลงเอยที่ใคร

            นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมการโอนข้ามประเทศที่ต่ำเมื่อเทียบกับระบบการเงินปกติที่ต้องมีการตรวจสอบแล้ว ก็เอื้อให้อาชญากรสามารถแบ่งย่อยจำนวนเงินสกปรกของตนออกเป็นก้อนเล็กๆ จำนวนมาก แล้วทยอยส่งผ่านระหว่างกระเป๋าเงินหรือบัญชีจำนวนมาก เพื่ออำพรางแหล่งที่มาของมันและเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ ทำได้บ่อยครั้งขึ้นโดยมีต้นทุนไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่องทางการชำระเงินแบบปกติ

            สิ่งนี้กลับน่าเป็นห่วงว่าองค์กรอาชญากรรม ขบวนการค้ายาเสพติด เว็บการพนัน หรือธุรกิจสีเทาทั้งหลาย กลับได้อานิสงส์จากระบบกระจายศูนย์ที่อ้างว่าจะมาปลดเอกมวลมนุษย์ชาติเหล่านี้ไปเต็มๆ ในการหลบเลี่ยงสายตาของกฎหมายและขยายเครือข่ายผิดกฎหมายไปทั่วโลกได้อย่างเสรี ขณะที่คนทั่วไปที่ทำมาหากินสุจริต ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้มันเลย กลับต้องมาแบบรับภาระที่พวกที่ขุดบิทคอยน์ได้สร้างเอาไว้ นั่นคือค่าไฟที่แพงขึ้น และมลภาวะที่เกิดขึ้นบนโลก ซึ่งนับเป็นผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่งนัก

            จึงเห็นได้ว่าเทคโนโลยีอย่าง Lightning Network ที่แม้จะอ้างว่ามีเป้าหมายที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของบิทคอยน์ ให้ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจสร้างผลกระทบในทางลบมากกว่า การมีนวัตกรรมที่เอื้อประโยชน์ให้การฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงินทำได้ง่ายขึ้น คงยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอันน่ายินดีสำหรับสังคมโดยรวม

            ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงกิจกรรมทางการเงินในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ที่ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย การชำระบิล หรือการโอนเงินให้คนใกล้ตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนทำได้ง่ายและฟรีผ่านระบบพร้อมเพย์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอะไรต้องหันไปพึ่ง Lightning Network ที่ยังมีข้อจำกัดและความยุ่งยากอยู่มาก ยิ่งเวลานี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยต้องการโอนเงินข้ามประเทศบ่อยนัก ทำให้ประโยชน์หลักของ Lightning ยิ่งเลือนรางลงไปอีก

            การมีระบบที่ช่วยให้องค์กรอาชญากรรมหลบเลี่ยงการตรวจสอบและลักลอบทำธุรกรรมที่ผิดกฏหมายได้ง่ายขึ้นนั้น ก็ดูจะไม่ใช่นวัตกรรมที่น่ายินดีเท่าไหร่นัก แม้พวกที่เล่นบิทคอยน์พยายามจะดันนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาแต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเอื้อประโยชน์ให้เหล่าผู้มีอิทธิพลมืด แก๊งอาชญากร และธุรกิจสีเทามากกว่าประชาชนทั่วไปเสียอีก จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและน่ากังวลไม่น้อยเลยทีเดียว

            นอกจากปัญหาเรื่องการส่งเสริมอาชญากรแล้ว การมาของ Lightning Network นั้นบังคับให้ผู้ใช้ต้องวางใจโหนดเพื่อประมวลผลธุรกรรมอย่างซื่อสัตย์ พวกที่เล่นบิทคอยน์มักจะอ้างว่าการโอนเงินผ่าน Lightning Network นั้นต้องใช้ความไว้ใจเพียงเล็กน้อย แต่ความจริงก็คือ แม้จะต้องพึ่งพาเพียง 1% ก็ถือว่าละเมิดหลักการพื้นฐานของบิทคอยน์ ที่มุ่งสร้างระบบที่ปราศจากความไว้วางใจไปแล้ว ทำให้เกิดช่องโหว่ต่อการฉ้อโกง การเซ็นเซอร์ และแรงกดดันจากภายนอก ต่างจากคำมั่นสัญญาเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันการเซ็นเซอร์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งสิ้นดี

            อีกด้านหนึ่ง ระบบการเงินแบบดั้งเดิมที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังคงให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมีการกำกับดูแล โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเหมือนบิทคอยน์ ธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินสามารถจัดการธุรกรรมหลายพันล้านรายการต่อวันได้ ภายใต้การคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็ง ถึงแม้จะเป็นระบบรวมศูนย์ แต่ก็ยังคงรักษาสมดุลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งและสิ่งสำคัญคือ มันใช้งานได้จริงโดยผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก ซึ่งต่างจากบิทคอยน์ Lightning Network ที่ถูกใช้โดยคนกลุ่มเล็กๆเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น

            ในขณะที่บิทคอยน์ยังคงดิ้นรนกับการใช้พลังงานมหาศาล ความล่าช้า ค่าธรรมเนียมที่สูง และความล้มเหลวในการปรับขยาย ระบบการเงินแบบเดิมก็ยังคงสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้ และปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง หรือสร้างความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น แม้แต่ความพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ผ่าน Lightning Network ก็ยังนำไปสู่ระบบที่รวมศูนย์อย่างย้อนแย้งและอันตรายยิ่งกว่าเดิม โดยมีความซับซ้อนและการใช้ทรัพยากรที่มากขึ้นเข้าไปอีก ถ้าบิทคอยน์มันดีจริงตั้งแต่แรกมันคงไม่ต้องดิ้นรนปรับตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แบบนี้

            สุดท้ายนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองข้ามกระแสตื่นเต้นเกี่ยวกับบิทคอยน์และยอมรับความจริงอันขมขื่น นั่นคือมันเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีประสิทธิภาพ ย้อนแย้งกับตัวเอง และล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการส่งมอบคำสัญญาที่ให้ไว้ แทนที่จะฝืนใช้ระบบที่ผิดพลาดตั้งแต่แนวคิด เราควรมุ่งไปที่การปรับปรุงระบบที่มีอยู่ ให้ทำงานได้ดีขึ้นสำหรับทุกคน การยึดติดกับบิทคอยน์และเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ล้มเหลว จะไม่นำเราไปสู่อนาคตทางการเงินที่ดีกว่าแน่นอน

            ลงทุนอื่นเช่น พันธบัตร หุ้น อสังหาริมทรัพย์ดีกว่า อย่าโลภมากลาภหาย

 

ที่มาภาพประกอบ https://www.acfcs.org/acfcs-exclusive-whitepaper-the-lightning-network-deconstructed-and-evaluated/

 

อ้างอิง

https://medium.com/@jonaldfyookball/mathematical-proof-that-the-lightning-network-cannot-be-a-decentralized-bitcoin-scaling-solution-1b8147650800

https://www.acfcs.org/acfcs-exclusive-whitepaper-the-lightning-network-deconstructed-and-evaluated/

https://www.investopedia.com/tech/bitcoin-lightning-network-problems/

อ่าน 750 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved