ก.ล.ต.สหรัฐฯ เตือนเรื่องบิทคอยน์ ดร.โสภณบอก Value Investing ดีกว่า
  AREA แถลง ฉบับที่ 690/2567: วันพฤหัสบดีที่ 01 สิงหาคม 2567

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            การเล่นบิทคอยน์เสี่ยงหนัก แม้แต่ ก.ล.ต.สหรัฐยังไม่เห็นด้วย เราพึงลงทุนแบบ Value Investing  ที่เน้นศึกษาถึงมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เราจะลงทุนจะดีกว่า

            ในวันที่ 10 มกราคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (ก.ล.ต.สหรัฐฯ) ได้ประกาศอนุมัติการซื้อขายกองทุน ETF ที่อ้างอิงกับราคาบิทคอยน์โดยตรง (Spot Bitcoin ETF) แต่เบื้องหลังการอนุมัติครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และความไม่เต็มใจ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงมุมมองของหน่วยงานกำกับดูแลอย่างแท้จริง

            นับแต่ปี 2556 เมื่อ Cameron และ Tyler Winklevoss ยื่นคำขอครั้งแรกเพื่อเปิดตัว Winklevoss Bitcoin Trust ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการต่อต้านการอนุมัติ ETF บิทคอยน์มาโดยตลอด ระหว่างปี 2561 ถึง 2566 ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้ปฏิเสธคำขออนุมัติ ETF บิทคอยน์มากกว่า 20 ครั้ง โดยให้เหตุผลหลักเกี่ยวกับความกังวลด้านการป้องกันการฉ้อโกง การบิดเบือนราคาในตลาดบิทคอยน์ และความเสี่ยงต่อนักลงทุนรายย่อยที่ นี่คือจุดยืนที่แข็งกร้าวของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ต่อบิทคอยน์ โดยมองว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังขาดการกำกับดูแลที่เพียงพอ มีความเสี่ยงสูง และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำผิดกฎหมายได้ง่าย

            แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อบริษัท Grayscale Investments ชนะคดีฟ้องร้อง ก.ล.ต.สหรัฐฯ ในศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตโคลัมเบียในเดือนสิงหาคม 2566 โดยศาลสั่งให้ ก.ล.ต.สหรัฐฯ พิจารณาคำขอของ Grayscale ใหม่  แต่ประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ Gary Gensler ได้เน้นย้ำว่า "เราไม่ได้อนุมัติหรือสนับสนุนบิทคอยน์" และ "นักลงทุนควรระมัดระวังอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเสี่ยงมากมายที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์และผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล"

            ดังนั้น ก.ล.ต.สหรัฐฯ จึงได้ได้อ้างอิงถึงรายงานและการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ ในแถลงการณ์การอนุมัติ ซึ่งล้วนแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงและอันตรายที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนี้:

  1. การใช้ในการก่อการร้าย: ก.ล.ต.สหรัฐฯ อ้างถึงรายงานจาก Congressional Research Service เรื่อง "Terrorist Financing: Hamas and Cryptocurrency Fundraising" ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 รายงานนี้เปิดเผยว่ากลุ่มก่อการร้ายอย่างฮามาสได้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการระดมทุน โดยตั้งแต่ปี 2562 ฮามาสได้เริ่มรณรงค์รับบริจาคผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งนำไปสู่การยึดเว็บไซต์และบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องโดยทางการสหรัฐฯ ในปี 2563
  2. การเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์ (Ransomware): ก.ล.ต.สหรัฐฯ อ้างอิงรายงานของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกิจการรัฐบาลของวุฒิสภาสหรัฐฯ เรื่อง "Use of Cryptocurrency in Ransomware Attacks, Available Data, and National Security Concerns" ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 รายงานนี้เปิดเผยว่าการโจมตีด้วย ransomware ที่ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
  3. การฟอกเงิน: ก.ล.ต.สหรัฐฯ อ้างถึงรายงานจาก Basel Institute on Governance เรื่อง "Quick Guide 1: Cryptocurrencies and Money Laundering Investigations" ฉบับเดือนสิงหาคม 2566 รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟอกเงิน
  4. การหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร: ก.ล.ต.สหรัฐฯ อ้างอิงรายงานจาก Center for Strategic & International Studies (CSIS) เรื่อง "Cryptocurrencies and U.S. Sanctions Evasion: Implications for Russia" ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลถูกใช้เป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีของรัสเซียที่เผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ

            นอกจากนี้ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ยังเน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่าง ETF บิทคอยน์กับ ETP โลหะมีค่าที่เคยอนุมัติมาก่อนหน้านี้ โดยระบุว่าโลหะมีค่ามีการใช้งานในอุตสาหกรรมและการบริโภคจริง ในขณะที่บิทคอยน์เป็น "สินทรัพย์ที่มีความผันผวนและใช้เพื่อการเก็งกำไรเป็นหลัก" คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองในแง่ลบของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ต่อบิทคอยน์ และความพยายามในการแยกแยะระหว่างสินทรัพย์ดั้งเดิมกับสินทรัพย์ดิจิทัล

            กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวอย่างยิ่งของตลาดบิทคอยน์ต่อข้อมูลข่าวสารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง ข่าวลวง หรือแม้แต่ความคิดเห็นส่วนตัวของบุคคลที่มีอิทธิพล ราคาบิทคอยน์สามารถผันผวนอย่างรุนแรงเพียงเพราะการแสดงความเห็นในเชิงบวกหรือลบของนักลงทุนรายใหญ่ ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ หรือแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงในสื่อสังคมออนไลน์

            ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่ Elon Musk เพียงแค่ทวีตเกี่ยวกับบิทคอยน์ ก็สามารถทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่การประกาศนโยบายดอกเบี้ยหรือการแถลงการณ์หรือแม้แต่การแสดงความเห็นของประธาน Fed เกี่ยวกับนโยบายการเงินหรือมุมมองต่อเศรษฐกิจ ก็สามารถสร้างความผันผวนให้กับราคาบิทคอยน์ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ

            ความเปราะบางนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงสูงในการลงทุนในบิทคอยน์ เนื่องจากราคาของมันสามารถถูกกำหนดหรือได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการกระทำหรือคำพูดของบุคคลที่มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยี นักการเมือง หรือแม้แต่ผู้มีชื่อเสียงในโลกโซเชียลมีเดีย บุคคลเหล่านี้สามารถสร้างความผันผวนให้กับราคาบิทคอยน์ได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่ด้วยการแสดงความคิดเห็นหรือทวีตข้อความสั้นๆ ความเสี่ยงนี้ทำให้การลงทุนในบิทคอยน์มีลักษณะคล้ายกับการเก็งกำไรมากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เพราะราคาอาจไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงหรือการใช้งานจริง แต่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นและอารมณ์ของตลาดที่ถูกชี้นำโดยผู้มีอิทธิพลเหล่านี้

            แม้ว่า ก.ล.ต.สหรัฐฯ จะอนุมัติ ETF บิทคอยน์ แต่ความกังวลและความระมัดระวังของหน่วยงานกำกับดูแลยังคงมีอยู่อย่างชัดเจน การอ้างอิงถึงรายงานและการศึกษาที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงและอันตรายของสินทรัพย์ดิจิทัลในแถลงการณ์การอนุมัติ แสดงให้เห็นว่า ก.ล.ต.สหรัฐฯ ยังคงมองว่าบิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางการเงินและความปลอดภัยของนักลงทุน

            อย่างไรก็ตาม การที่ ก.ล.ต.สหรัฐฯ แสดงความกังวลอย่างชัดเจนในการอนุมัติ ETF บิทคอยน์ครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศอื่นๆ  รวมถึงประเทศไทย ควรระมัดระวังอย่างมากต่อการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการอนุมัติที่ไม่ใช่จากการเปลี่ยนแปลงมุมมองของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ต่อบิทคอยน์แต่อย่างใด ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าบิทคอยน์นั้นเป็นเครื่องมือที่อาจถูกใช้ในการก่อการร้าย การฟอกเงิน และกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ

            ดร.โสภณกล่าวย้ำว่าทางเลือกในการลงทุนอื่นมีมากมายที่เป็น Value Investing ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้ อย่างสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตน เช่น แบรนด์ ฯลฯ ก็ยังสามารถลงทุนได้อีกมากมายโดยทางราชการควบคุมและที่สำคัญ ในกรณีหุ้นและทรัพย์สินอื่นเรายังสามารถดูปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ได้ แต่ไม่ใช่ในกรณีของบิทคอยน์

 

อ่าน 531 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved