ในขณะนี้ประเทศไทยมีบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบครึ่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ท่านเชื่อหรือไม่บริษัทที่ดินยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีอนาคตอันมืดมน ทำไมจึงจะเป็นเช่นนี้
ตารางที่ 1: บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ทีสุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ กลางปี 2567 | |||||
อันดับ | บริษัทที่ใหญ่ที่สุด | โครงการ | มูลค่า (ล้านบาท) | หน่วยขาย | % มูลค่า |
1 | เอพี (ไทยแลนด์) | 26 | 33,710 | 5,488 | 16.00% |
2 | เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น | 9 | 19,418 | 969 | 9.20% |
3 | โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ | 4 | 14,311 | 1,223 | 6.80% |
4 | ศุภาลัย | 10 | 11,713 | 1,874 | 5.50% |
5 | แสนสิริ | 11 | 11,546 | 1,249 | 5.50% |
6 | เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ | 3 | 10,562 | 441 | 5.00% |
7 | แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ | 2 | 9,947 | 602 | 4.70% |
8 | ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ | 5 | 7,609 | 1,850 | 3.60% |
9 | เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) | 4 | 6,629 | 327 | 3.10% |
10 | พฤกษา เรียลเอสเตท | 5 | 5,957 | 1,166 | 2.80% |
รวม | 131,401 | 15,189 | 62% | ||
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส |
จากผลการสำรวจล่าสุด ณ กลางปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า 10 บริษัทมหาชนและบริษัทในเครือครองส่วนแบ่งตลาด (จากการเปิดตัวหน่วยขายใหม่ๆ ในครึ่งแรกของปี 2567) สูงสุดถึง 62% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับว่ามีขนาดใหญ่มากถึงเกือบหนึ่งในสามของทั้งตลาด
ในขณะที่ในแง่จำนวนหน่วย 10 บริษัทแรกที่ใหญ่ที่สุด ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 53% ของทั้งหมด ส่วนบริษัทที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คาดว่าจะมีสัดส่วนเพียง 15% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมด ถ้าหมายรวมทั้งปี มูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรก จะมีมูลค่ารวมกันประมาณ 262,802 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่มากจริงๆ
แต่หากเทียบกับบริษัทพัฒนาที่ดินจีน ไทยยังมีขนาดเล็กมาก
ตารางที่ 2: 9 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ทีสุดในจีน ณ ปี 2566 | |||
อันดับ | บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่สุดในจีน | พันล้านหยวน | ล้านบาท |
1 | Poly Real Estate | 386.34 | 1,889,203 |
2 | China Vanke Co. | 350.47 | 1,713,798 |
3 | Greentown China | 301.08 | 1,472,281 |
4 | China Overseas L & Development | 294.32 | 1,439,225 |
5 | China Resources Land | 280.94 | 1,373,797 |
6 | Chjina Merchants Shekou | 270.20 | 1,321,278 |
7 | Country Garden Holdings | 206.06 | 1,007,633 |
8 | C&D Real Estate | 188.15 | 920,054 |
9 | Longfor Properties | 166.26 | 813,011 |
มูลค่ารวม | 2,444.00 | 11,950,280 | |
ที่มา: https://www.statista.com/statistics/286277/ leading-real-estate-companies-in-china-by-sales-revenue/ |
จะเห็นได้ว่ามูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรกของไทยที่ประมาณการไว้ทั้งปี 2567 จะเป็นเงินรวมกันเพียง 262,802 ล้านบาท ยังเล็กกว่าบริษัทที่เล็กที่สุดใน 9 อันดับแรกของจีนที่เมื่อปี 2566 ผลิตที่อยู่อาศัยมีมูลค่ารวมกันถึง 813,011 ล้านบาท (บริษัท Longfor Properties) ดังนั้นหากบริษัทพัฒนาที่ดินจีนเข้ามาในประเทศไทย ก็จะถึงคราวหายนะของบริษัทพัฒนาที่ดินไทยอย่างแน่นอน และมูลค่ารวมของบริษัทพัฒนาที่ดินจีน 9 แห่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นเงินสูงถึง 11,950,280 ล้านบาท หรือราวสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทยที่ราวๆ 18 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตามโดยที่ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งจีนและไทยต่างสร้างที่อยู่อาศัยออกมามากมาย ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ก็จะลดลง กลายเป็นตลาดบ้านมือสองแทน จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่าประเทศไทยในวาระครบรอบ 200 ปี (พ.ศ.2525) มีที่อยู่อาศัยรวมกันในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประมาณ 1 ล้านหน่วย แต่พอถึงปี 2567 หรืออีก 42 ปีต่อมา มีการผลิตที่อยู่อาศัยใหม่ 3 ล้านกว่าหน่วย (มากกว่าช่วง 200 ปีแรกถึง 2 เท่าตัวหรือมีที่อยู่อาศัยรวมเป็น 3 เท่าของที่อยู่อาศัยเดิม) ทำให้ในอนาคต ความต้องการสร้างบ้านใหม่ๆ จะลดน้อยลง เพราะสามารถนำบ้านมือสองมาซื้อขายต่อกันได้ เพราะบ้านมือสองมักจะถูกกว่า ทำเลที่ตั้งดีกว่า แม้จะต้องซ่อมแซมบ้างก็ตาม
ตารางที่ 3: 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ณ พ.ศ.2565 | ||||
อันดับ | ชื่อบริษัท | จำนวนหน่วย | มูลค่า (พันล้านเหรียญ) | มูลค่า (ล้านบาท) |
1 | D.R. Horton | 80,000 | 27 | 945,000 |
2 | Lennar Corp. | 59,000 | 25 | 875,000 |
3 | PulteGroup | 29,000 | 13 | 455,000 |
4 | NVR | 21,000 | 8.7 | 304,500 |
5 | Taylor Morrison | 13,000 | 7.2 | 252,000 |
6 | KB Home | 13,000 | 6.5 | 227,500 |
7 | Meritage Homes Corp. | 12,800 | 5 | 175,000 |
8 | Clayton Properties Group | 11,000 | 3.7 | 129,500 |
9 | Century Communities | 10,000 | 4.2 | 147,000 |
10 | LGI | 10,000 | 3 | 105,000 |
รวม | 258,800 | 103.3 | 3,615,500 | |
ที่มา: https://atlasrtx.com/americas-10-largest-home-builders/ |
เมื่อหันมามองบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่สร้างบ้านจัดสรรและอาคารชุดขาย ณ ปี 2565 จะพบใน 10 บริษัทแรก มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม 3.6155 ล้านล้านบาท เล็กกว่า 9 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีขนาดเป็นเพียง 30% ของจีนเท่านั้น หลายบริษัทพัฒนาที่ดินมานับร้อยปีในสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากนัก เพราะการสร้างที่อยู่อาศัยให้มีแบรนด์เป็นที่ยอมรับกันทั่วประเทศถึง 50 มลรัฐเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
ตารางที่ 4: 10 บริษัทนายหน้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ณ พ.ศ.2566 | ||||
อันดับ | ชื่อบริษัท | จำนวนหน่วย | มูลค่า (พันล้านเหรียญ) | มูลค่า (ล้านล้านบาท) |
1 | Compass | 177,716 | 184,452 | 6,640,285 |
2 | Anywhere Advisors | 252,023 | 176,229 | 6,344,261 |
3 | eXp Realty | 355,052 | 143,578 | 5,168,826 |
4 | HomeServices of America | 235,861 | 133,807 | 4,817,042 |
5 | Douglas Elliman | 21,606 | 34,402 | 1,238,482 |
6 | Hanna Holdings Inc | 97,961 | 33,840 | 1,218,250 |
7 | Redfin | 46,549 | 27,497 | 989,883 |
8 | @Properties | 35,232 | 22,610 | 813,976 |
9 | Side | 22,967 | 22,003 | 792,092 |
10 | The Real Brokerage, Inc. | 48,905 | 21,208 | 763,472 |
รวม | 1,293,872 | 799,627 | 28,786,570 | |
ที่มา: https://www.realtrends.com/500-by-sides/ |
จะเห็นได้ว่าบริษัทนายหน้าใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ 10 บริษัทแรก มีการขายทรัพย์สินรวมกันถึง 1,293,872 หน่วย มากกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินที่ขายอยู่ 258,800 หน่วยเสียอีก และยิ่งพิจารณาในแง่มูลค่าของสินค้าที่ขาย ก็สูงถึง 28.787 ล้านล้านบาท
เมื่อบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ที่สุดที่มียอดขายรวมกัน 3.6155 ล้านล้านบาท หากสมมติว่าได้กำไรปีละ 8% ก็เป็นเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท แต่ในกรณีบริษัทนายหน้าที่มียอดขาย 28.787 ล้านบาท สมมติได้กำไรสุทธิเพียง 2% จากค่านายหน้าประมาณ 6% ก็เป็นเงินถึง 570,000 ล้านบาท สูงกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินเสียอีก
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ๆ ก็จะค่อยๆ ลดบทบาทลง เพราะความต้องการบ้านใหม่จะลดลง การซื้อขายบ้านมืสองจะมีราคาถูกกว่า ได้ทำเลดีกว่า กิจการนายหน้าจะเฟื่องฟูขึ้นมา และรวมศูนย์เป็นบริษัทนายหน้าขนาดยักษ์มากยิ่งขึ้น ส่วนบริษัทพัฒนาที่ดินรายย่อยก็อาจมีบทบาทมากขึ้นในท้องถิ่นต่างๆ แต่เป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีออร์เดอร์จากการสั่งสร้างมากกว่าการสร้างบ้านและห้องชุดจำนวนมากๆ ออกมาขายเช่นเดิม
และด้วยอำนาจของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริษัทนายหน้าใหญ่ที่สามารถจัดหาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดีและมากกว่า ก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดไปในอนาคต