อนาคตอันมืดมนของบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ไทย
  AREA แถลง ฉบับที่ 761/2567: วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2567

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

                 ในขณะนี้ประเทศไทยมีบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบครึ่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ท่านเชื่อหรือไม่บริษัทที่ดินยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีอนาคตอันมืดมน ทำไมจึงจะเป็นเช่นนี้

 

ตารางที่ 1: บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ทีสุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ กลางปี 2567
อันดับ บริษัทที่ใหญ่ที่สุด โครงการ มูลค่า (ล้านบาท) หน่วยขาย % มูลค่า
1 เอพี (ไทยแลนด์) 26 33,710 5,488 16.00%
2 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น 9 19,418 969 9.20%
3 โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ 4 14,311 1,223 6.80%
4 ศุภาลัย 10 11,713 1,874 5.50%
5 แสนสิริ 11 11,546 1,249 5.50%
6 เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ 3 10,562 441 5.00%
7 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 2 9,947 602 4.70%
8 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ 5 7,609 1,850 3.60%
9 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)  4 6,629 327 3.10%
10 พฤกษา เรียลเอสเตท 5 5,957 1,166 2.80%
  รวม   131,401 15,189 62%
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส

 

            จากผลการสำรวจล่าสุด ณ กลางปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า 10 บริษัทมหาชนและบริษัทในเครือครองส่วนแบ่งตลาด (จากการเปิดตัวหน่วยขายใหม่ๆ ในครึ่งแรกของปี 2567) สูงสุดถึง 62% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับว่ามีขนาดใหญ่มากถึงเกือบหนึ่งในสามของทั้งตลาด

            ในขณะที่ในแง่จำนวนหน่วย 10 บริษัทแรกที่ใหญ่ที่สุด ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 53% ของทั้งหมด ส่วนบริษัทที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คาดว่าจะมีสัดส่วนเพียง 15% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมด ถ้าหมายรวมทั้งปี มูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรก จะมีมูลค่ารวมกันประมาณ 262,802 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่มากจริงๆ

            แต่หากเทียบกับบริษัทพัฒนาที่ดินจีน ไทยยังมีขนาดเล็กมาก

 

ตารางที่ 2: 9 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ทีสุดในจีน ณ ปี 2566
อันดับ บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่สุดในจีน พันล้านหยวน ล้านบาท
1 Poly Real Estate 386.34 1,889,203
2 China Vanke Co. 350.47 1,713,798
3 Greentown China 301.08 1,472,281
4 China Overseas L & Development 294.32 1,439,225
5 China Resources Land 280.94 1,373,797
6 Chjina Merchants Shekou 270.20 1,321,278
7 Country Garden Holdings 206.06 1,007,633
8 C&D Real Estate 188.15 920,054
9 Longfor Properties 166.26 813,011
  มูลค่ารวม 2,444.00 11,950,280
ที่มา: https://www.statista.com/statistics/286277/
leading-real-estate-companies-in-china-by-sales-revenue/

 

 

            จะเห็นได้ว่ามูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรกของไทยที่ประมาณการไว้ทั้งปี 2567 จะเป็นเงินรวมกันเพียง 262,802 ล้านบาท ยังเล็กกว่าบริษัทที่เล็กที่สุดใน 9 อันดับแรกของจีนที่เมื่อปี 2566 ผลิตที่อยู่อาศัยมีมูลค่ารวมกันถึง 813,011 ล้านบาท (บริษัท Longfor Properties) ดังนั้นหากบริษัทพัฒนาที่ดินจีนเข้ามาในประเทศไทย ก็จะถึงคราวหายนะของบริษัทพัฒนาที่ดินไทยอย่างแน่นอน และมูลค่ารวมของบริษัทพัฒนาที่ดินจีน 9 แห่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นเงินสูงถึง 11,950,280 ล้านบาท หรือราวสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทยที่ราวๆ  18 ล้านล้านบาท

            อย่างไรก็ตามโดยที่ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งจีนและไทยต่างสร้างที่อยู่อาศัยออกมามากมาย ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ก็จะลดลง กลายเป็นตลาดบ้านมือสองแทน  จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่าประเทศไทยในวาระครบรอบ 200 ปี (พ.ศ.2525) มีที่อยู่อาศัยรวมกันในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประมาณ 1 ล้านหน่วย แต่พอถึงปี 2567 หรืออีก 42 ปีต่อมา มีการผลิตที่อยู่อาศัยใหม่ 3 ล้านกว่าหน่วย (มากกว่าช่วง 200 ปีแรกถึง 2 เท่าตัวหรือมีที่อยู่อาศัยรวมเป็น 3 เท่าของที่อยู่อาศัยเดิม) ทำให้ในอนาคต ความต้องการสร้างบ้านใหม่ๆ จะลดน้อยลง เพราะสามารถนำบ้านมือสองมาซื้อขายต่อกันได้ เพราะบ้านมือสองมักจะถูกกว่า ทำเลที่ตั้งดีกว่า แม้จะต้องซ่อมแซมบ้างก็ตาม

 

ตารางที่ 3: 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ณ พ.ศ.2565
อันดับ ชื่อบริษัท จำนวนหน่วย มูลค่า
(พันล้านเหรียญ)
มูลค่า (ล้านบาท)
1 D.R. Horton 80,000 27 945,000
2 Lennar Corp. 59,000 25 875,000
3 PulteGroup 29,000 13 455,000
4 NVR 21,000 8.7 304,500
5 Taylor Morrison 13,000 7.2 252,000
6 KB Home 13,000 6.5 227,500
7 Meritage Homes Corp. 12,800 5 175,000
8 Clayton Properties Group 11,000 3.7 129,500
9 Century Communities 10,000 4.2 147,000
10 LGI 10,000 3 105,000
  รวม 258,800 103.3 3,615,500
ที่มา: https://atlasrtx.com/americas-10-largest-home-builders/

           

            เมื่อหันมามองบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่สร้างบ้านจัดสรรและอาคารชุดขาย ณ ปี 2565 จะพบใน 10 บริษัทแรก มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม 3.6155 ล้านล้านบาท เล็กกว่า 9 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีขนาดเป็นเพียง 30% ของจีนเท่านั้น  หลายบริษัทพัฒนาที่ดินมานับร้อยปีในสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากนัก เพราะการสร้างที่อยู่อาศัยให้มีแบรนด์เป็นที่ยอมรับกันทั่วประเทศถึง 50 มลรัฐเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

 

ตารางที่ 4: 10 บริษัทนายหน้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ณ พ.ศ.2566
อันดับ ชื่อบริษัท จำนวนหน่วย มูลค่า
(พันล้านเหรียญ)
มูลค่า
(ล้านล้านบาท)
1 Compass 177,716 184,452 6,640,285
2 Anywhere Advisors 252,023 176,229 6,344,261
3 eXp Realty 355,052 143,578 5,168,826
4 HomeServices of America 235,861 133,807 4,817,042
5 Douglas Elliman 21,606 34,402 1,238,482
6 Hanna Holdings Inc 97,961 33,840 1,218,250
7 Redfin 46,549 27,497 989,883
8 @Properties 35,232 22,610 813,976
9 Side 22,967 22,003 792,092
10 The Real Brokerage, Inc. 48,905 21,208 763,472
รวม   1,293,872 799,627 28,786,570
ที่มา: https://www.realtrends.com/500-by-sides/

 

 

            จะเห็นได้ว่าบริษัทนายหน้าใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ 10 บริษัทแรก มีการขายทรัพย์สินรวมกันถึง 1,293,872 หน่วย มากกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินที่ขายอยู่ 258,800 หน่วยเสียอีก และยิ่งพิจารณาในแง่มูลค่าของสินค้าที่ขาย ก็สูงถึง 28.787 ล้านล้านบาท 

            เมื่อบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ที่สุดที่มียอดขายรวมกัน 3.6155 ล้านล้านบาท หากสมมติว่าได้กำไรปีละ 8% ก็เป็นเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท แต่ในกรณีบริษัทนายหน้าที่มียอดขาย 28.787 ล้านบาท สมมติได้กำไรสุทธิเพียง 2% จากค่านายหน้าประมาณ 6% ก็เป็นเงินถึง 570,000 ล้านบาท สูงกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินเสียอีก

            ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ๆ ก็จะค่อยๆ ลดบทบาทลง เพราะความต้องการบ้านใหม่จะลดลง การซื้อขายบ้านมืสองจะมีราคาถูกกว่า ได้ทำเลดีกว่า กิจการนายหน้าจะเฟื่องฟูขึ้นมา และรวมศูนย์เป็นบริษัทนายหน้าขนาดยักษ์มากยิ่งขึ้น ส่วนบริษัทพัฒนาที่ดินรายย่อยก็อาจมีบทบาทมากขึ้นในท้องถิ่นต่างๆ แต่เป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีออร์เดอร์จากการสั่งสร้างมากกว่าการสร้างบ้านและห้องชุดจำนวนมากๆ ออกมาขายเช่นเดิม

         และด้วยอำนาจของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริษัทนายหน้าใหญ่ที่สามารถจัดหาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดีและมากกว่า ก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดไปในอนาคต

อ่าน 2,555 คน
2025 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved