อ่าน 2,309 คน
AREA แถลง ฉบับที่ 207/2557: 23 ธันวาคม 2557
ลาดกระบัง: ตัวอย่างการวางผังเมืองผิดที่ต้องแก้เดี๋ยวนี้

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th

          ที่ลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร วางผังเมืองผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง กีดขวางความเจริญ ทำให้การพัฒนาผิดเพี้ยน ผมก็หวังที่จะติเพื่อก่อ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพื่อให้สังคมมีสันติสุขปรองดองตามนโยบายสมัยใหม่ของรัฐบาล
          ในหลักวิชาการผังเมืองนั้น มักมีการกำหนดพื้นที่สีเขียวหรือ Green Belt สำหรับป้องกันการขยายตัวของเมืองจนเกินขอบเขตที่ควร กรุงเทพมหานครของเราก็มีการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ซึ่งเป็นสีเขียวทแยงไว้บริเวณเขตลาดกระบังและบริเวณอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การวางผังของกรุงเทพมหานครนี้กลับไม่มีประสิทธิผลจริง มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยอาศัยการตีความกฎหมายแบบศรีธนญชัย แล้วเราจะทำอย่างไร

ภาพที่ 1: ผังเมืองกรุงเทพมหานคร 2556 ที่กำหนดพื้นที่สีเขียวและสีเขียวทแยงไว้ทั้งสองข้างของเมือง

          ในกรณีนี้ได้นำพื้นที่ ก.1-13 ก.1-14 และ ก.1-15 นี้ ในเขตอนุรักษ์และชนบทและเกษตรกรรมตามผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2556 นี้ ซึ่งมีมีพื้นที่รวมกัน 21.12 ตารางกิโลเมตร มาศึกษา และพบว่าแทนที่การใช้ที่ดินจริงจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ตามผัง แต่ความจริงกลับเป็นอื่น ตามผังเมือง ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ฉบับก่อนๆ แล้วว่า ห้ามการจัดสรรที่ดินทุกประเภท เว้นแต่การจัดสรรที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีพื้นที่ดินแปลงย่อยไม่น้อยกว่าแปลงละ 2.5 ไร่ การอยู่อาศัยประเภทบ้านแฝด บ้านแถว ห้องแถว ตึกแถว หรืออาคารอยู่อาศัยรวม เป็นต้น

ภาพที่ 2: พื้นที่ ก.1-13, 14 และ 15 ตามผังเมืองกรุงเทพมหานคร 2556 ที่เป็นพื้นที่สีสีเขียวทแยง

ภาพที่ 3: การใช้ที่ดินที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมแท้ๆ มีเพียง 28% เท่านั้น (สีเขียวเข้ม)

          จากการประมวลพื้นที่ศึกษาทั้งหมดพบว่าในพื้นที่ ก.1-13, 14 และ 15 นี้มีขนาดที่ดินทั้งหมดประมาณ 21.12 ตารางกิโลเมตร หรือ 132,000 ไร่ มีแปลงพื้นที่ทำการเกษตรกรรมจริงๆ เพียง 60 บริเวณ รวมกัน 5.9 ตารางกิโลเมตรหรือเพียง 28% เท่านั้น  ส่วนที่เหลือเป็นแปลงเพื่อการคลังสินค้า 25 แปลง รวม 0.62 ตารางกิโลเมตร (3%) ที่ดินจัดสรร 46 แปลง 4.1 ตารางกิโลเมตร (19%) หมู่บ้านจัดสรร 26 บริเวณ 1.91 ตารางกิโลเมตร (9%) และอื่น ๆ 8.58 ตารางกิโลเมตร (41%)
          ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าพื้นที่นี้ได้เปลี่ยนการใช้สอยจากแผนที่วางไว้อย่างสิ้นเชิง โดยในรายละเอียดยังพบว่ามีอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าพักอาศัย ถึง 37 แห่ง รวมจำนวนห้องถึง 2,218 ห้อง  ยังมีตึกแถว 6 โครงการ รวม 207 คูหา ซึ่งไม่น่าจะได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างได้ในพื้นที่นี้ มีหมู่บ้านจัดสรร 10 โครงการ รวม 720 หน่วย ทั้งนี้ยังไม่รวมแปลงที่ดินจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยที่ปล่อยร้างไว้อีกนับพันๆ แปลง ที่ดินจัดสรรร้างเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะผังเมืองกำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมทั้งที่เจ้าของที่ดินไม่ได้คิดทำการเกษตรแต่อย่างใด
          ยิ่งกว่านั้น จากการสำรวจยังพบว่ามีกิจการบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นแปลงที่ดินขนาดใหญ่พอสมควรอีก 16 แห่ง รวมพนักงาน 2,020 คน ยังมีโรงเรียน  4 แห่ง รวมบุคลากรถึง 4,535 คน แยกเป็นนักเรียน 4,290 คนและครู 245 คน รวมทั้งศูนย์ขนถ่ายสินค้า (Depot) อีก 18 แห่ง รวมพนักงานถึง 1,750 คน การที่มีศูนย์ขนถ่ายสินค้าจำนวนมากเพราะอยู่ใกล้เขตที่กำหนดให้ทำกิจการเช่นนี้ แต่โดยที่พื้นที่ดังกล่าวมีจำกัด จึงขยายตัวออกมาโดยรอบ แสดงถึงความจำเป็นที่ต้องมีพื้นที่เพื่อการขนถ่ายสินค้าเพิ่มขึ้น

ภาพที่ 4: ตึกแถวแบบเลี่ยงกฎหมายโดยขออนุญาตเป็นบ้านเดี่ยวมีเป็นจำนวนมากในพื้นที่นี้

ภาพที่ 5: อะพาร์ตเมนต์ซึ่งห้ามก่อสร้างตามผังเมือง แต่กลับมีเป็นจำนวนมากในพื้นที่นี้

          ในด้านประชากร แขวงคลองสามประเวศซึ่งเป็นบริเวณหลักในพื้นที่ศึกษานี้ มีขนาด 17.458 ตารางกิโลเมตร กลับมีที่อยู่อาศัยอยู่รวมกัน 7,030 หน่วย มีประชากร 15,271 คน ซึ่งถือว่ามีประชากรถึง 875 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่ความหนาแน่นของประชากรไทยอยู่ที่ประมาณ 140 คนต่อตารางกิโลเมตร
          จะเห็นได้ว่าในพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมนี้ กลับมีพื้นที่เกษตรกรรมจริงๆ เพียง 5.9 ตารางกิโลเมตร หรือ 28% ของพื้นที่ทั้งหมด แสดงว่าหมดสภาพการเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมแล้ว แสดงให้เห็นว่า การกำหนดสีผังเมืองแตกต่างจากความเป็นจริง เป็นการกำหนดตามความเข้าใจ (ผิด) ของนักผังเมืองเอง ดังนั้นหากจะอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมแท้ๆ ทางราชการจึงควรที่จะ
          1. ส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม มีการประกันราคา รับซื้อสินค้า หรือจัดหาตลาดให้ เพื่อให้เกษตรกรรมแขนงนั้นๆ สามารถยืนยงอยู่ได้จริง
          2. กำหนดชัดให้มีการใช้เพื่อการเกษตรกรรม ไม่สามารถใช้เพื่อการอื่นได้ แต่ในความเป็นจริงทางราชการกลับกำหนดหละหลวง มีช่องโหว่ ยิ่งทำให้การกำหนดนั้นไม่เป็นจริง
          3. ในกรณีที่และหากผู้ใดต้องการจะขายที่ดิน ทางราชการสมควรมีองค์กรรับซื้อเพื่อนำมาใช้เพื่อการเกษตรหรือพื้นที่สีเขียวต่อไป ในมหานครขนาดใหญ่ในตะวันตกเช่นกรุงลอนดอน การกำหนดพื้นที่สีเขียว (Green Belt) นั้น ทางราชการซื้อที่ดินมา ไม่ใช่บังคับเอากับเจ้าของที่ดินเช่นที่เกิดขึ้นเยี่ยงการวางผังเมืองในประเทศไทย
          กรณีลาดกระบังนี้จึงชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนอย่างฉกรรจ์ของการวางผังเมืองนั่นเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่พึงดำเนินการก็คือ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งกรมโยธาธิการและผังเมือง กรุงเทพมหานคร ราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น อัยการ ศาล สถาบันการศึกษา นักวิชาชีพด้านผังเมืองและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนนักพัฒนาที่ดินและนักการอุตสาหกรรม รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่ควรจะได้ร่วมกับเปลี่ยนแปลงสีผังเมืองให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อที่เมืองจะไดัพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
          แม้ผังเมืองกรุงเทพมหานครที่เพิ่งประกาศใช้ไปเมื่อปี 2556 จะหมดอายุลงในปี 2560 แต่กรุงเทพมหานครและกรมโยธาธิการและผังเมืองควรเร่งแก้ไขผังเมืองตั้งแต่วันนี้ เพราะในผังเมืองดังกล่าว มีจุดผิดพลาดมากมาย และมีผู้ร้องเรียนนับพัน ๆ ราย แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขจากกรุงเทพมหานคร และไม่มีคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้มีมาตรฐานที่ถูกต้อง
          วันนี้กรุงเทพมหานครอาจบอกว่าได้เริ่มเก็บข้อมูลบ้าง แต่การเก็บข้อมูลยังไม่พอ ต้องยกร่างผังเมืองตั้งแต่วันนี้ และแก้ไขก่อนหมดอายุปี 2560 เพราะความผิดพลาดมากมายของผังเมืองก็ตาม แต่เชื่อว่าทางราชการคงจะ "ซื้อเวลา" ไปเรื่อยรอจนหมดอายุในปี 2560 เพราะหลังจากนั้นยังสามารถต่ออายุต่อไปได้อีกครั้งละ 1 ปี จำนวน 2 ครั้ง ยิ่งถ้าร่างพระราชบัญญัติผังเมืองฉบับใหม่ผ่าน สนช. อายุของผังเมืองก็จะขยายเป็น 20 ปี ต่ออายุได้อีกครั้งละ 2 ปี ถ้าเป็นเช่นนั้น ความผิดพลาดต่าง ๆ ก็จะไม่ได้รับการแก้ไขไปอีกนาน
          ความทุกข์ยากของคนเมืองอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการต้องเดินทางไกลไปทำงาน ไปทำงานแต่เช้ามืด เสียค่าใช้จ่ายมากมายในแต่ละวัน และเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก็เนื่องจากการวางผังเมืองที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในพื้นที่ต่าง ๆ นั่นเอง แต่ปัญหานี้ประชาชนทั่วไปอาจไม่ทราบหรือไม่รู้ว่าเป็นเพราะผังเมืองที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้การจัดพื้นที่อยู่อาศัย การทำงาน เกิดความลักลั่นนั่นเอง
          กรุงเทพมหานคร กรมโยธาธิการและผังเมืองและรัฐบาลจึงต้องพยายามผลักดันผังเมืองที่ดีต่อประชาชนออกมาให้ได้


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved