เดือนกันยายน 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์กระเตื้องขึ้น ทั้งนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้รายงานไว้
ในเดือนกันยายนภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการเปิดตัวจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า โดยมีโครงการเปิดขายใหม่รวม 27 โครงการ (เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีโครงการเปิดขายใหม่ 26 โครงการ) โดยลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้ง 27 โครงการ ในจำนวนที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด มีจำนวนหน่วยขายรวม 2,408 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 17,017 ล้านบาท
จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 2,408 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 1,518 หน่วย (เดือนสิงหาคม 2567 มีจำนวน 3,926 หน่วย) หรือลดลงประมาณ 38.7% เนื่องจากมีการชะลอการเปิดตัวโครงการของผู้ประกอบการ สำหรับประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดในเดือนนี้ คือ บ้านเดี่ยว มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่รวม 705 หน่วย (29.3%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 679 หน่วย (28.2%) ส่วนอันดับ 3 คือ อาคารชุด 606 หน่วย (25.2%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จะพบว่า จำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ของทาวน์เฮ้าส์และอาคารชุดลดลง ยกเว้นบ้านเดี่ยวที่มีหน่วยขายเพิ่มขึ้น โดยทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยขายลดลง 1,067 หน่วย (-61.1%) อาคารชุดลดลง 43 หน่วย (-6.6%) ส่วนบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 69 หน่วย (10.8%)
โดยรวมแล้ว โครงการที่เปิดขายใหม่ในเดือนนี้มีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้น จำนวนหน่วยขาย มูลค่าโครงการ และราคาเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง เนื่องจากมีการชะลอตัวการเปิดโครงการ และปรับขนาดโครงการเล็กลง ซึ่งหากเป็นบ้านเดี่ยวจะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังจ่ายระดับค่อนข้างสูงขึ้นไป ส่วนทาวน์เฮ้าส์และอาคารชุดในเดือนนี้มีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดจำนวนค่อนข้างน้อยและพัฒนาระดับราคาปานกลาง ทำให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยปรับลดลงประมาณ 24.1% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของเดือนก่อน โดยราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 7.067 ล้านบาท แต่เดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 9.306 ล้านบาท
ในเดือนนี้มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 1-2 ล้านบาท มีจำนวน 231 หน่วย (9.6%) มีมูลค่าโครงการ 393 ล้านบาท (2.3%) ที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 497 หน่วย (20.6%) มีมูลค่าโครงการ 1,188 ล้านบาท (7.0%) ระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 610 หน่วย (25.3%) มีมูลค่าโครงการ 2,229 ล้านบาท (13.1%) ส่วนที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไปจำนวน 1,070 หน่วย (44.4%) และมีมูลค่าโครงการ 13,207 ล้านบาท (77.6%) ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่ทั้งหมดในเดือนนี้
สำหรับผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 7 บริษัท คือ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ
ในด้านทำเลที่ตั้ง ทำเลที่มีการเปิดขายใหม่ สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเขตชั้นกลาง ส่วนต่อขยายเมือง และพื้นที่รอบนอกเป็นสำคัญ อาคารชุดจะตั้งอยู่ในย่าน CBD และเขตชั้นกลาง โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยโครงการที่เปิดตัวใหม่ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นใน จำนวน 3 โครงการ ในย่านถนนสุขุมวิทและเพชรบุรี ส่วนโครงการที่ตั้งอยู่ในเขตชั้นกลาง และส่วนต่อขยายของเมือง (Intermediate area) มีจำนวน 6 โครงการ เช่น ย่านอิสรภาพ นครอินทร์ ลาดพร้าว เกษตร-นวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา นอกจากนี้ส่วนที่เหลือจำนวน 18 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่รอบนอก ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านแหล่งงาน เช่น สายไหม ลำลูกกา รังสิต-นครนายก หนองจอก ราชพฤกษ์ตอนกลาง บางใหญ่ พุทธมณฑล และสามพราน เป็นต้น
หากพิจารณาจำนวนอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทที่เปิดตัวในเดือนกันยายนของปีนี้เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา จะพบว่าในปีนี้มีจำนวนโครงการเปิดใหม่ลดลงจากปีที่ผ่านมา 19 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายลดลง 4,729 หน่วย หรือ -66.3% (ปีที่ผ่านมามีจำนวน 7,137 หน่วย) และมีมูลค่าลดลง 34,491 ล้านบาท หรือลดลง -65.6% (ปีที่ผ่านมามีมูลค่า 49,508 ล้านบาท)
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ 9 เดือนแรกปี 2567 มีจำนวนโครงการเปิดใหม่รวม 264 โครงการ น้อยกว่า 9 เดือนแรกของปี 2566 จำนวน 65โครงการ หรือลดลง -19.8% (9 เดือนแรกของปี 66 มีจำนวนรวม 329 โครงการ) มูลค่าโครงการ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าการโครงการรวม 283,277 ล้านบาท ลดลง 70,018 ล้านบาท หรือ -19.8% (9 เดือนแรกของปี 66 มีมูลค่ารวม 353,295 ล้านบาท) และจำนวนหน่วยขายรวมของ 9 เดือนแรกปี 2567 มีจำนวน 41,957 หน่วย ลดลง 28,769 หน่วย หรือลดลง -40.7% (9 เดือนแรกของปี 66 มีจำนวนรวม 70,726 หน่วย) ตามลำดับ