ในปัจจุบันนี้มีสินทรัพย์มากมายให้เลือกลงทุน บางคนก็เลยเผลอไปลงทุนทางอื่น โดยลืมไปว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์ที่พึงลงทุนที่สุด เขาจึงเรียกว่า Real Estate หรือทรัพย์ที่แท้จริง ส่วนสินทรัพย์อื่นที่นักการเงินคิดค้นขึ้นให้เราเล่น ทำเราพังมานักต่อนักแล้ว
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2567 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (area.co.th) ได้รับเชิญจาก บจก.บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ให้ไปอภิปรายในงาน Bitkub Summit 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยไปพูดในเรื่อง “Future Fusion: The Future Investment Opportunities เปิดแผนที่ขุมทรัพย์การลงทุนแห่งอนาคต”
ในการลงทุนนั้นนักลงทุนทั่วโลกก็มุ่งหวังจะได้รับ “อิสรภาพทางการเงิน” หรือ Financial Freedom หรือ Financial Independence คือ “ความสามารถที่เราสามารถทำสิ่งที่เราต้องการด้วยเวลาและแรงกายแรงใจที่มีอยู่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแต่อย่างใด หรืออีกนัยหนึ่งคือการที่คุณมีเงินมากพอและปล่อยให้เงินทำงานโดยผ่านการลงทุนในแบบต่างๆ โดยที่คุณไม่ต้องทำงานใดๆ อีกต่อไป การมีอิสรภาพทางการเงินและสามารถใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการเป็นความหวังลึกๆ ของคนแทบจะทุกคน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปถึงและบางคนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะสร้างอิสรภาพทางการเงินให้กับตัวเองได้” (https://lnkd.in/gRgfH246)
โดยรวมแล้วเราต้องการ “อิสรภาพทางการเงิน” แบบไวๆ อยากสบายอยากรวยเร็วๆ โดยไม่ต้องทำงานประจำ หรือไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร (ทั้งที่การเป็นลูกจ้างก็มีโอกาสที่มีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข เจริญๆ ได้เช่นกัน) หลายคนหวังว่าจะไม่ต้องทำงาน นั่งเสพสุข เรามักคาดหวังเงินง่ายๆ หรือ Easy Money โดยยอมที่จะเสี่ยงแบบ “high risk, high return” ซึ่งมีโอกาสเจ๊งสูงมาก เช่น คนที่เล่นบิทคอยน์สำเร็จ 10% เสมอตัว 20% เจ๊ง 70% (https://lnkd.in/gPUiX7ZY)
หลายคนยอมเสี่ยงที่จะลงทุนแบบหวือหวาเพราะยังเป็นคนหนุ่มสาว ยังไม่มีอะไรจะสูญเสีย ไม่มีทรัพย์สมบัติ (Possession) มากมายนัก เจ๊งก็เริ่มต้นใหม่ได้ หรือขอเงินพ่อแม่ทำทุนต่อได้ หรือยอมล้มละลาย ติด Blacklist ในเครดิตบูโรได้ ยิ่งกว่านั้นหลายคนยังรู้สึกทันสมัยที่ได้เล่นเกมการเงินใหม่ๆ ยิ่งหากมีกูรูวัยกลางคนมาชี้แนะ ยิ่งเตลิดไปใหญ่ แต่อันที่จริงนักลงทุนควรที่จะค่อยๆ สะสมทุนดีกว่า เข้าทำนอง “อำพรางแก่นแกน ซุ่มซ่อนยาวนาน สะสมกำลัง รอคอยโอกาส” ดีกว่าโฉ่งฉ่างไปลงทุนตามแฟชั่น
ในการทำธุรกิจหรือทำมาหากิน ในโลกนี้ยังมีงานที่ตนถนัดมากมาย ซึ่งก็แล้วแต่จริตของแต่ละคน ซึ่งดีกว่าจะมาเล่นบิทคอยน์หรือมานั่งเล่นหุ้น หรือซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ หรือแม้แต่โทเคนอสังหาริมทรัพย์ เราควรทำธุรกิจ SMEs เช่น ธุรกิจผับ-บาร์ ท่องเที่ยวชุมชน สื่อ (การตัดต่อ) ธุรกิจการตลาดดิจิทัล ธุรกิจสัตว์เลี้ยง และธุรกิจสุขภาพธุรกิจการแพทย์-ความงาม ธุรกิจฟินเทค ธุรกิจจัดทำคอนเทนท์ ธุรกิจแพลตฟอร์มตัวกลาง ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจอาหารเสริม คลังสินค้า ธุรกิจอีสปอร์ต ธุรกิจความเชื่อศรัทธา ธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาก่อน ฯลฯ แล้วค่อยไปรวยทีหลัง อดทนก่อน ไม่ใช่ตั้งเป้าจะรวยเร็ว
การทำธุรกิจ เราจะได้มูลค่าเพิ่มของธุรกิจ (Return of Investment หรือ Capital Gain) และค่าเช่า (Return on Investment / Rent) รวมทั้งเรายังสามารถสร้างแบรนด์ได้อีกด้วย และถือเป็นขั้นตอนที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นเสมือน Leverage หรือการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ นั่นเอง เราทำธุรกิจเล่นหุ้นหรือเล่นคริปโต ไม่ได้ช่วยให้เกิดอัตราผลตอบแทนข้างต้น อย่างมากก็ได้เพียง Return on Investment เท่านั้น
ในกรณีที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่มีเงินจะทำอย่างไร ทั่วโลกเห็นคล้ายกันว่า เราต้องเริ่มต้นเช่นนี้
1. เราควรศึกษาหาความรู้จากหนังสือ ตำรับตำรา วีดีทัศน์ ฯลฯ ซึ่งมีผู้สอนมากมาย และถ้าเราพยายามใช้วิจารณญาณ เราก็จะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในด้านต่างๆ เช่น ศึกษาความเป็นไปได้ในด้านกายภาพ ตลาด การเงินและกฎหมาย เป็นต้น การศึกษาแบบนี้สามารถทำอย่างเป็นระบบได้ ดูความเปลี่ยนแปลงที่แท้ได้เพราะมีพื้นฐานหรือ Fundamental ที่แท้ ไม่เหมือนการวิเคราะห์คริปโต ซึ่งแทบไม่มีใครวิเคราะห์อะไรถูก แล้วแต่ “วาฬ” จะให้ขึ้นหรือลงในตลาด
2. เราควรลงทุนศึกษาไปก่อน เช่น ในแถวบ้านเรา หรือในพื้นที่ของเรา เราต้องไปดูห้องชุด หรือทาวน์เฮาส์ หรือบ้านเดี่ยวที่เราสนใจก่อน ตระเวนดูสัก 20-50 แห่ง จะได้มีความรู้ในการเลือกทรัพย์สิน เมื่อเราดูได้ระดับหนึ่ง เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าหลังไหน หรือยูนิตไหนที่ควรจะลงทุน ถ้าเรามั่นใจจริงๆ เราก็อาจหาผู้ร่วมลงทุนจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง เพื่อที่จะ “ซื้อมา-ขายไป” และเมื่อเชี่ยวชาญก็ขยายไปเรื่อย
3. เราเริ่มอย่างไม่ต้องใช้เงินโดยแปลงตนเองเป็นนายหน้า ซึ่งอาจไปเข้าสังกัดใดก็ได้ หรือทำเองก็ได้ ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ การเป็นนายหน้าจะทำให้เรามีความรู้แบบติดดินแท้ๆ มีความอดทนในการบริหาร-จัดการลูกค้า แม้แต่เจ้าของโรงแรมใหญ่ๆ ก็ยังบอกว่าเราควรมีจิตใจบริการ ซึ่งถ้าเราทำกิจการนายหน้าได้ดีแล้ว เราก็สามารถขยับขยายต่อไปได้เพราะมีทุนมากขึ้น
4. เราอาจเริ่มเป็นนักวิชาชีพก็ได้ เช่น ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ผู้บริหารทรัพย์สิน หรือแม้แต่เป็นผู้รับเหมาสร้างบ้าน ซึ่งจะทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างลึกซึ้ง
5. เรายังอาจทำการซื้อขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เช่น Real Estate Investment Trust (REIT) หรือการไปซื้อโทเคนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทมหาชนไปก่อนก็สามารถทำได้
6. เมื่อมีทุน เราอาจซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า ปรับปรุงแล้วขายต่อ หรือค่อยๆ พัฒนาโครงการเล็กๆ ก่อน เช่น จัดสรรที่ดิน ทำทาวน์เฮาส์ไม่กี่หน่วยเป็นโครงการเล็ก ๆไปก่อน แล้วค่อยสร้างอาคารชุด ทำอะพาร์ตเมนต์ ทำโรงแรม ฯลฯ
7. เมื่อการพัฒนาใหญ่ขึ้น เราก็อาจพัฒนาจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในที่สุด หรือไม่ก็เป็นการสร้างแบรนด์ เช่น หากทำอะพาร์ตเมนต์ แล้วสามารถขายไปในที่ต่างๆ ก็จะทำให้สร้างแบรนด์ขึ้นมาได้ สร้างแฟรนไชส์ได้นั่นเอง
ถ้าในที่สุดเราต้องการเกษียณอายุ เราก็สามารถขายอสังหาริมทรัพย์ของเราได้ ขายสังหาริมทรัพย์ที่ควบในธุรกิจนั้นได้ หรือขาย Knowhow ขาย Software ในการประกอบธุรกิจ และขายแบรนด์ของกิจการของเรา ซึ่งจะมีมูลค่ามากกว่าการขายแต่อสังหาริมทรัพย์เท่านั้น เราจึงพึงทำธุรกิจที่สร้างสรรค์ในสังคมมากว่าการไปนั่งเล่นคริปโต ซึ่งเป็น “ของเล่น” สำหรับเยาวชนที่ยังไม่เห็นทางออกในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามที่แนะนำข้างต้น
คิดใหม่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จึงดีที่สุดเพราะเป็น Real Estate คือทรัพย์ที่เป็น “ของแทร่”