มีบางคนพูดว่า บิล เกตส์ อภิมหาเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงของโลก ซื้อที่ดินเพื่อการเกษตรถึง 275,000 เอเคอร์ (1,224 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งนับว่าราว 70% ของขนาดของกรุงเทพมหานคร แต่นักลงทุนจีนไปซื้อที่ดินเกษตรของสหรัฐอเมริกาถึง 383,934 เอเคอร์ (1,562 ตารางกิโลเมตร) หรือขนาดพอๆ กับกรุงเทพมหานครเลย นี่เป็นภัยคุกคามของจีนต่อสหรัฐอเมริกาผ่านอสังหาริมทรัพย์
ในปี 2564 บริษัทจีนได้ซื้อที่ดินใกล้ฐานทัพอากาศในเมืองแกรนด์ฟอร์กส์ รัฐนอร์ทดาโคตา ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาเกิดความวิตกกังวลในเรื่องความมั่นคงของประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกาหวั่นเกรงว่าจีนซึ่งถือเป็น “ศัตรูในเชิงยุทธศาสตร์” (และขณะเดียวกันก็เป็นพันธมิตรคู่รายใหญ่ที่สุดของประเทศนอกทวีปอเมริกาเหนือ) อาจเข้ามาควบคุมแหล่งผลิตอาหารและพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้ รวมถึงอาจมายึดครองตลาดและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญได้เช่นกัน
ปรากฏการณ์นี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศจีน กล่าวคือสหรัฐอเมริกาหรือชาติตะวันตกใดก็ตามก็คงไม่สามารถเพ่นพ่านไปซื้อที่ดินตรงไหนก็ได้ในจีน ทั้งนี้ชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยมาครบ 1 ปีในประเทศจีน จึงจะสามารถ “ซื้อ” ห้องชุดในจีนได้ (แต่มีระยะเวลาจำกัดที่ 70 ปี – ไม่ใช่ซื้อขายขาดแบบที่จีนมาซื้อในประเทศไทย) และสามารถซื้อได้แค่หน่วยเดียว (ไม่สามารถซื้อบ้านหลังที่สอง หรือสาม หรือมาเที่ยวเก็งกำไรส่งเดชได้) เมื่อซื้อแล้วก็ต้องอยู่อาศัยเองเท่านั้น จะมาปล่อยเช่าให้คนจีนต่อไม่ได้ แต่คนจีนมาซื้อห้องชุดในไทยแล้วปล่อยเช่ากันเอง หรือปล่อยเช่าให้คนไทยหรือใครก็ได้ หรือบ้างขนาดทำเป็นโรงแรมให้พวกคนจีนด้วยกันเองมาพัก
แม้ว่าที่ดินที่คนจีนเป็นเจ้าของในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ดินที่ชาวต่างชาติที่ไปซื้อเป็นเจ้าของทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา แต่การซื้อที่ดินดังกล่าวของจีนก็ก่อให้เกิดความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจควบคุมอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ผ่านบริษัทจีน หรือเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้ ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา บริษัทและนักลงทุนชาวจีนได้ซื้อที่ดินในสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก รวมถึงซื้อบริษัทอาหารรายใหญ่ เช่น Smithfield Foods ซึ่งเป็นบริษัทแปรรูปเนื้อหมูรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้บริษัทการเกษตรเหล่านี้ต่าง เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในปัจจุบัน
ความกังวลของทางการสหรัฐอเมริการวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกาก็คือ ทางการสหรัฐไม่ทราบแน่ชัดหรือไม่ว่าที่ดินต่างชาติทั้งหมดที่ถือครองโดยคนจีนนั้น เป็นบุคคลจีนหรือกลุ่มคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนกันแน่ โดยความกลัวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เกิดความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศในประเด็นต่างๆ เช่น เกาะไต้หวัน การค้าระหว่างประเทศ และการรวบรวมข่าวกรองของจีน ดังนั้นการซื้อกิจการของจีนหรือซื้อที่ดินในสหรัฐอเมริกาโดยคนจีน จึงเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะมีอะไรเคลือบแฝงหรือไม่
ในระยะหลังๆ มานี้จีนยิ่งเพิ่มกำลังซื้อที่ดินทำการเกษตรของสหรัฐอเมริกามากขึ้น สมาชิกรัฐสภาบางคนมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของชาติหนักขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเหล่านี้เกิดจากการไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนนักว่าทำไมคนจีนจึงมาซื้อที่ดินมากมายเช่นนี้ และที่ดินหลายแห่งก็ตั้งอยู่ใกล้กับฐานทัพทหารสหรัฐอเมริกาเสียด้วย โดยเฉพาะในกรณีการซื้อที่ดินในมลรัฐนอร์ทดาโคตา (ใกล้เขตทหาร) โดยหน่วยงานด้านที่ดินของรัฐอนุมัติให้ซื้อได้เพราะยังไม่มีข้อจำกัดในด้านนี้ (ต่างจากจีนที่จำกัดไม่ให้ชาวต่างชาติไปซื้อบ้านและที่ดินส่งเดชในประเทศจีน)
ทางการสหรัฐมองว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จีนจะนำอุปกรณ์โทรคมนาคมมาใช้เพื่อขัดขวางการสื่อสารของกองทัพสหรัฐอเมริกาก็เป็นไปได้ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลจีนยังมีกฎหมายที่บังคับใช้ให้ภาคเอกชนอนุญาตให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลที่พลเมืองและบริษัทต่างๆ ถือครองอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงมองว่ามีความเสี่ยงสูงในการทำธุรกิจกับบริษัทจีนเพราะคล้ายกับว่าเรากำลังทำธุรกิจกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเลย
อย่างไรก็ตามจำนวนพื้นที่ที่จีนถือครองในสหรัฐอเมริกาที่ 383,934 เอเคอร์นั้นยังน้อยกว่าที่แคนาดา เนเธอร์แลนด์ อิตาลี สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ถือครองอยู่เสียอีก โดยจีนอยู่อันดับที่ 18 ในรายชื่อนักลงทุนต่างชาติ แต่ประเทศอื่นๆ ข้างต้นนั้นเป็นประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา แต่ในขณะที่การเติบโตในการครอบครองที่ดินของจีนในสหรัฐอเมริกากำลังเกิดขึ้นอย่างยิ่งยวด จึงทำให้เกิดข้อวิตกถึงความมั่นคงของประเทศ
โดยรวมแล้ว หน่วยงานต่างประเทศเป็นเจ้าของที่ดินเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยของที่ดินทั้งหมดในสหรัฐฯ โดยคิดเป็นเพียง 3% หรือ 40 ล้านเอเคอร์ของที่ดินเกษตรกรรมส่วนบุคคลทั้งหมดในสหรัฐฯ ณ ปี 2021นักลงทุนชาวแคนาดาเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากที่สุด คือ 12,845,210 เอเคอร์ หรือน้อยกว่าพื้นที่ของรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นที่ดินป่าไม้ที่ใช้สำหรับการผลิตไม้
ที่ดินที่ชาวจีนเป็นเจ้าของมากกว่า 80% ถือครองโดย Smithfield Foods และมหาเศรษฐีที่ชื่อ นาย Sun Guangxin ผ่าน Brazos Highland Properties LP และ Harvest Texas LLC ทั้งนี้นาย Sun ใช้บริษัทเหล่านี้ในการซื้อพื้นที่มากกว่า 100,000 เอเคอร์ในเท็กซัสเพื่อสร้างฟาร์มกังหันลม แต่สุดท้ายแล้วโครงการนี้ก็หยุดลงโดยกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าของมลรัฐเท็กซัส
อันที่จริงแล้ว ซันเป็นเจ้าของที่ดินที่ชาวจีนเป็นเจ้าของประมาณ 40% ในสหรัฐฯ เขาเป็นเจ้าของที่ดินกว่า 100,000 เอเคอร์ใน Val Verde County รัฐเท็กซัส ผ่านบริษัทสองแห่งของเขา ได้แก่ Brazos Highland Properties และ Harvest Texas การซื้อกิจการของเขาในปี 2559 และ 2560 แผนการสร้างฟาร์มกังหันลม รวมถึงอ้างความสัมพันธ์ที่เขามีกับกองทัพจีน ได้รับการตรวจสอบในเท็กซัสหลายปีหลังจากที่เขาเข้าซื้อกิจการ ในที่สุด เขาก็ถูกปฏิเสธไม่ให้ดำเนินการตามแผนการสร้างฟาร์มกังหันลม ส่วนบริษัท Walton International Group เป็นบริษัทจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่มีฐานอยู่ในเมืองสก็อตส์เดล รัฐแอริโซนา เป็นตัวแทนขายที่ดินที่ชาวจีนเป็นเจ้าของถึง 8% บริษัท ดังกล่าวยังเป็นนายหน้าซื้อ-ขายที่ดินของนักลงทุนจากประเทศอื่นอีกด้วย
ในขณะนี้มีความพยายามที่จะจำกัดการซื้อของบริษัทจีน โดยเฉพาะบริษัทที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนเพื่อจุดประสงค์นี้ จึงมีร่างกฎหมายหลายฉบับในรัฐสภาที่มุ่งจำกัดการเป็นเจ้าของของชาวจีน นอกจากนี้ รัฐบาลของไบเดนก็กำลังเข้มงวดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับผู้ที่สามารถซื้อที่ดินใกล้กับฐานทัพทหาร แต่ก็ไม่รู้ว่านี่จะทันการหรือไม่ จะกลายเป็น “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้” เสียก่อนหรือไม่
หันมามองประเทศไทยของเรา ก็จะพบว่าจีนพยายามกว้านซื้อที่ดิน บ้านและห้องชุดแบบเงียบๆ มานานแล้วเช่นกัน รัฐบาลไทยพึงตระหนักถึงภยันตรายนี้ ในอนาคตไทยคงหนีไม่พ้นเป็น “อาณานิคม” ทางเศรษฐกิจของจีนหรือไม่
ปล. อ่านเพิ่มเติมที่ https://shorturl.at/Nxc8y และ https://shorturl.at/WJs6x