มีคนบอกว่า “เงินซื้อได้ทุกสิ่ง” “ทุกสิ่งมีราคาในตัวมันเอง” บ้างถึงขนาดบอกว่า “เงินซื้อความรักได้” ผมในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สินที่ตีค่าสิ่งต่างๆ เป็นตัวเงินได้ ตีได้กระทั่งมูลค่าของดวงจันทร์ จึงขออนุญาตวิเคราะห์แบบสุดๆ ให้เห็นว่าเงินซื้อทุกสิ่งและความรักได้จริงหรือไม่
ปกติเงินสามารถใช้ซื้อสิ่งเหล่านี้ได้
1. อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ที่ดิน อาคาร บ้านรวมทั้งสิ่งติดตรึงในอาคารหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น ผมไปตีค่ากาสิโนหรือแม้แต่ทัชมาฮาลก็สามารถตีค่าเป็นเงินได้ โดยถือเป็นทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่น สนามบินโอซากา สนามบินเช็คล๊าบก๊อก (ฮ่องกง) สนามบินชางงี (สิงปโปร์) ที่สร้างใหม่ในทะเล เป็นต้น
2. สังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ เช่น รถ เรือ โต๊ะ ตู้ เตียง ซึ่งคล้ายกับอสังหาริมทรัพย์ตรงที่เป็นทรัพย์ที่มีตัวตน จับต้องได้ ที่ผ่านมาผมก็ไปประเมินทั้งเครื่องบิน เรือเดินสมุทร เรือยอร์ชซึ่งเป็นของเล่นของมหาเศรษฐีที่เสื่อมค่าเร็วมากจนเล่าขานกันว่าเจ้าของดีใจตอนซื้อกับดีใจตอนขาย
3. ทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนแต่มีมูลค่า เช่น มูลค่ากิจการ แบรนด์หรือยี่ห้อสินค้าต่างๆ เช่น เราไปประเมินกิจการภัตตาคารในกรุงลอนดอน ประเมินค่ายี่ห้อขนมปังชื่อดังในสิงคโปร์ เป็นต้น
ความสวยก็ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตน และมีลักษณะสัมพัทธ์ (Relative) ไปตามชาติพันธุ์หรือภูมิภาค แต่ที่สำคัญคนส่วนใหญ่นิยมความสวย ดังนั้นการซื้อความรักส่วนหนึ่งก็เป็นการซื้อความสวยจากรูปกายภายนอก ความสวยจึงถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง สาวที่สวยกว่าย่อมสร้างรายได้ (ที่ถูกกฎหมาย) ได้มากกว่า เช่น รับจ้างไปเป็นพริตตี้ในงานแสดงรถยนต์ ความสวยที่มากกว่ายังมีมูลค่าสูงกว่า เช่น สวยระดับนางนพมาศ นางสาวไทย นางงามจักรวาล ก็จะได้รางวัลในมูลค่าที่แตกต่างกัน เป็นต้น
ส่วนมูลค่าของกิจการก็สามารถนำไปขายหรือสร้างรายได้ได้ เช่น กิจการ Facebook TikTok ที่สามารถนำไปให้บริการต่างๆ ได้ ใช้เป็นสื่อโฆษณาได้ เป็นตลาดเอง เป็นช่องทางการตลาด ฯลฯ แต่ Digital Asset โดยเฉพาะ Bitcoin เอาไปทำอะไรไม่ได้ ไม่มีมูลค่า มีแต่ราคาตามแห่กันไป ทั้งนี้ยกเว้น Digital Asset ที่มีทรัพย์สินที่แท้จริงอยู่เบื้องหลัง เช่น พวก Token ของบริษัทพัฒนาที่ดินมหาชนที่มีห้องชุดหรืออสังหาริมทรัพย์ค้ำอยู่นั่นเอง
แม้เงินจะซื้อได้ทุกอย่าง ยกเว้นยังจ่ายเงินไม่พอนั้น ผมในฐานะประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ที่ประเมินค่าสารพัดทรัพย์สิน ขอย้อนถามว่าแล้วเงินซื้อภูเขาทองได้ไหม ซื้อวัดพระแก้วได้ไหม ของบางอย่างที่ไม่ใช่สินค้า (ทางโลก) ย่อมซื้อไม่ได้ ไม่มีตลาด แม้มีคนอยากซื้อ แต่อาจไม่มีผู้อยากขาย แม้มีต้นทุนการสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม (Reconstruction Costs) แต่ไม่มีมูลค่า
อย่างไรก็ตามเหนือกว่าเงินก็คืออำนาจ ของบางอย่าง เขาไม่อยากให้ ไม่อยากขาย ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่ก็อาจได้ด้วยการปล้นเอา เช่น ปล้นเอาลูกเมียของคนอื่น ปล้นเอาความเป็นคนลงเป็นทาส (ในยุคสงครามต่างๆ) ปล้นเอาโบราณวัตถุหรือของล้ำค่าของชนเผ่าอื่นมาเป็นของตน ปล้นประชาธิปไตย เป็นต้น ชาวรัฐปันจาปของอินเดีย จึงถือคติถืออสังหาริมทรัพย์ไว้เพราะแม้อเล็กซานเดอร์มหาราช มองโกลและมุสลิมจะบุก แต่ก็ไม่สามารถนำอสังหาริมทรัพย์ไปได้
บางคนบอกว่าถ้าเรามีเงินซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับแพงๆ ให้สาว สาวก็อาจหลงรักเราได้ กรณีนี้เป็นจริงหากมีหนุ่ม 2 คนไปจีบสาวพร้อมกัน ถ้าทั้งสองมีคุณสมบัติอื่นที่ใกล้เคียงกัน คนที่รวยกว่าย่อมได้เปรียบเพราะสาวเห็นอนาคตที่ดีจากความรวยของฝ่ายชายรออยู่ข้างหน้า แต่ถ้ามีแต่เงิน แต่รูปชั่ว น้ำใจเลว ขาดคุณสมบัติที่ดีงาม หรือมีข้อเสียอื่นๆ สาวที่จะยอมแต่งงานด้วยก็ไม่ได้แต่งเพราะรัก แต่แต่งเพราะเงินมากกว่า คนที่ฟาดคนอื่นด้วยเงิน ก็อาจกลายสภาพจากผัว-เมียเป็นนาย-บ่าว บ้างก็ต้องทนอยู่กันไปเพราะเงินแต่ไร้รัก หรือไม่ก็เลิกรากันไปในที่สุด
แต่แปลกไหม บางคนถูกคลุมถุงชน ถูกฉุดคร่าข่มขืนแต่สุดท้ายกลับรักกันไปชั่วชีวิต ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเงินหรืออำนาจ แต่เนื่องจากในภายหลังฝ่ายหญิงได้มองเห็นความดีของฝ่ายชาย เช่น เป็นคนรักเดียวใจเดียว ดูแลครอบครัว ลูกเมียอย่างดี ก็อาจทำให้ฝ่ายหญิงรักได้ กรณีนี้ เช่น “ขุนช้าง” เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม “ขุนแผน” ที่แสนรูปงาม มีความสามารถและไม่ได้ยากจน แต่เป็นคนหลายใจ ก็อาจทำให้ “วันทอง” ใจอ่อนไปรักขุนช้างได้ในที่สุด
โดยสรุปแล้วเงินจึงซื้อความรัก (ซึ่งถือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน) ไม่ได้ แต่ถ้ายากจนข้นแค้น กัดก้อนเกลือกินกันไปนานๆ เข้าอย่าง “ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” บางทีคู่ครองก็ต้องแยกทางกันไป โดยเฉพาะความยากแค้นที่เกิดจากความประพฤติเช่น ติดเหล้า ติดการพนัน แต่ถ้ายากแค้นแต่มีความรักความใส่ใจต่อกันก็ยังอยู่กันได้ และสภาพยากแค้นนั้นจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เมื่อขยันขันแข็งทำงาน “ผัวหาบ เมียคอน” กันไป ก็ย่อมพ้นสภาพยากแค้นไปได้ อย่างไรก็ตามก็มีเช่นกันที่ฝ่ายคู่ครองทนไม่ไหว หนีไปหาคนใหม่ที่ฐานะดีกว่าหรือไปค้าบริการทางเพศ แต่ก็ถือเป็นคนส่วนน้อยที่ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” ไปถือเป็นข้อมูลที่ “ผ่าเหล่าผ่ากอ” (Outliers) คนจนส่วนใหญ่ (Norm) คงไม่ได้กลายสภาพไปเป็นแบบนั้น
รักเกิดจากการรู้จักเอาใจใส่กัน เห็นอกเห็นใจกัน รู้จักให้ถนอมรักกัน รวมทั้งการทำตัวให้มีอนาคต ด้วยเหตุนี้ หลายคนที่ขาดรูปสมบัติอันงดงาม (แต่ไม่ถึงขนาดขี้เหร่) แต่สวยและหล่อจากภายใน ยิ่งถ้าเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความรู้ ความสามารถ มีความขยันขันแข็ง (ทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้เช่นกัน) ก็ยิ่งจะทำให้คู่รักตระหนักได้ว่าการอยู่กับคนที่ไม่รวยก็จะมีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า
ที่เมืองจีนในสมัยก่อน สาวชาวนาได้สรุปบทเรียนจากรุ่นสู่รุ่น ว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งกับข้าราชการหรือคนรวยๆ เพราะในด้านหนึ่งหัวโขนเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูง ไม่จีรังยั่งยืน และลาภยศที่มาพร้อมกับความรวยก็เช่นกัน พวกเขานิยมแต่งงานมีชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพในหมู่บ้านมากกว่า เขาเข้าใจดีว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่ซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกได้ อย่างไรก็ตามกฎทุกกฎก็มีข้อยกเว้นได้ บางคนก็อาจลุ่มหลงกับลาภยศเหล่านี้
แม้เงินจะมีความสำคัญกับเราแบบฝรั่งว่า Have Money to Burn (เผาเงินเล่นเพื่อซื้อความสุขสบาย) แต่สังคมเราต้องส่งเสริมการมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่พึงโฆษณาชวนเชื่อความคิดสามานย์ให้คนตกเป็นทาสเงิน