ป่าชุมชน คือการทำลายชาติ
  AREA แถลง ฉบับที่ 151/2558: วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2558

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            นโยบายป่าชุมชน แจกเอกสารสิทธิ์เฉพาะบุคคลหรือทั้งชุมชน ล้วนเป็นการทำลายป่า ทำลายชาติ ไม่ควรดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง ให้ชาวบ้านออกจากป่าย่อมคุ้มค่ากว่า

            มีข่าวว่า "กรมป่าไม้ใจป้ำ แจกสทก.1ล้านไร่" โดย "คืนชีพ สทก.ฉาวเตรียมแจกที่ดินในป่าสงวนฯ กว่า 1 ล้านไร่ให้ชาวบ้านยากจน อ้าง แปลงร่างเป็นสิทธิทำกินชุมชน ไม่ได้ให้เป็นรายบุคคล เพื่อไม่ให้มีการเปลี่ยนมือ. . . ดำเนินโครงการแจก ที่ดินตามสิทธิทำกิน (สทก.) ชุมชน หรือ สทก.ชุมชน ตามนโยบายจัดสรรที่ดินทำกินให้กับราษฎรที่ไม่มีที่ดินทำกินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นรองประธาน . . . นอกจากนี้ พล.อ.ดาว์พงษ์ยังเตรียมแจกป่าชุมชน 260 แห่งทั่วประเทศเพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน โดยป่าชุมชนทั้ง 260 แห่ง เป็นป่าชุมชนที่สามารถให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ โดยจะปลูกต้นไม้ขึ้นใหม่ประมาณร้อยละ 20 ของป่าชุมชนนั้นๆ และหากประชาชนต้องการตัดไม้เพื่อไปใช้ประโยชน์ก็สามารถใช้จากป่าชุมชนได้เลย โดยจะเริ่มแจกในเดือน ม.ค.2558" (http://goo.gl/ar3Qp5)

            การแจกเอกสาร "สิทธิทำกิน" หรือ สทก. ของกรมป่าไม้ควรเลิกได้แล้ว เป็นทรัพย์สินขายไม่ได้ ยกให้แก่ลูกหลานได้ แต่มีการซื้อขายผิดกฎหมายอยู่ทั่วไป ยิ่งแนวคิดป่าชุมชน โฉนดชุมชนยิ่งถือเป็นการทำลายระบบเอกสารสิทธิ์ของชาติ สร้างความไม่เท่าเทียมกันของประชากรและก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ชนในรูปแบบใหม่

คลองโยง: จุดเริ่มต้นของความไร้ขื่อแป

อย่าให้คนอยู่ป่าเขา ฉวยโอกาส

            เมื่อ 50 ปีที่แล้ว แทบไม่มีหมู่บ้านชาวเขาอยู่บนเขาเลย แต่เดี๋ยวนี้มีมากมาย บุกรุกกันเพิ่มแทบทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี บางแห่งกลายเป็นเมืองไปแล้ว อย่างนี้จะบอกว่าชาวเขาอยู่อย่างพอเพียง รักษาป่า ไม่ขยายตัว ได้อย่างไร แผ่นดินไทยคงไม่กว้างใหญ่ให้เหยียบย่ำทำกินได้เท่าความโลภของคน ประเทศจะปล่อยให้ชุมชนขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัดเช่นนี้ คงไม่ได้

            ป่าเขา แม่น้ำ หนอง บึง ชายทะเลหรือทรัพยากรธรรมชาติ เป็นของทุกคนในชาติโดยไม่แบ่งแยก ไม่ใช่ของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง ถ้าแต่ละชุมชนอ้างสิทธิ์เฉพาะตน ชุมชนอื่นและประชาชนไทยโดยรวมก็เข้าไม่ถึงทรัพยากร ของหลวงคือสมบัติของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ให้ใครอยู่ใกล้ทรัพยากร ก็มือใครยาว สาวได้สาวเอา จนไม่เหลือหรอไว้ให้ลูกหลานในอนาคต เราต้องคิดเสียใหม่ว่า ของที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรถือครอง ไม่ว่าตนจะเป็นคนรวยหรือคนจน ของส่วนรวม ของหลวงก็คือสมบัติของประชาชนไทยที่ต้องรักษาไว้เพื่อทุกคน

ทำลายระบบโฉนดที่ดิน

            โฉนดชุมชนนี้ยังทำลายหลักการออกโฉนดที่ดินที่ออกโดยพระพุทธเจ้าหลวงตั้งแต่ พ.ศ. 2444 หรือร้อยกว่าปีก่อน และเป็นระบบโฉนดที่ดินที่พัฒนาเรื่อยมา จนกระทั่งประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีระบบโฉนดที่ดินที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โฉนดที่ดินเป็นการให้กรรมสิทธิ์สมบูรณ์แก่ผู้ถือครองเพื่อให้ไว้เป็นทุนทรัพย์ สามารถจำนอง จำหน่ายจ่ายโอนได้ในยามจำเป็น หรือหากมีฐานะดีขึ้นก็สามารถที่จะซื้อที่ดินเพิ่มเติมได้

            โฉนดชุมชนยังถือเป็นการสร้างความไร้ขื่อแปของการจัดการที่ดิน แทนที่ชาวบ้านจะสามารถซื้อที่ดินเป็นทุนของตนเองแบบโฉนดทั่วไปเช่นคนอื่น กลับได้โฉนดชุมชนกำมะลอนี้ขึ้น ในกรณีคลองโยง เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เลิกทำนา ที่ดินดังกล่าวก็คงมีสภาพเป็นนาร้าง หรือผู้ครอบครองแต่ละรายอาจเช่าให้ผู้อื่นมาใช้ประโยชน์ในทางอื่น ซึ่งคงเหลือผู้คัดค้านเพียงน้อยรายที่ยังอาจทำการเกษตรอยู่

ทำลายระบอบประชาธิปไตย

            การอ้างสิทธิชุมชนลอย ๆ เป็นอนาธิปไตย สร้างความไร้ขื่อแป เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นการสร้างความไร้ขื่อแป เอากฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าอนาธิปไตย เป็นการหักล้างระบอบประชาธิปไตยโดยคนส่วนใหญ่ แต่กลับไปติดสินบนคนส่วนน้อย เพื่อหาเสียง เพื่อให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เข้าใจว่าเป็นการช่วยประชาชน แต่แท้จริงเป็นการช่วยเฉพาะกลุ่มกฎหมู่ที่ไม่ใช่คนจนเป็นสำคัญ

            ในระบอบประชาธิปไตยนั้นที่ถือมติของคนส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าคนส่วนใหญ่จะบีฑาคนส่วนน้อย ทุกคนมีศักดิ์ สิทธิ์และประโยชน์ของตนโดยเท่าเทียมกัน ประเทศสามารถให้ความอนุเคราะห์พิเศษแก่คนส่วนน้อยในฐานะที่เป็นผู้ขาดแคลน เช่น กรณีพิบัติภัย หรือกรณีคนส่วนน้อยที่เป็นคนยากจนและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ แต่สำหรับโฉนดชุมชน เรากลับจะให้อภิสิทธิ์ชนส่วนน้อยที่ไม่ได้มีฐานะยากจน มาฉวยทรัพยากรของชาติและประโยชน์ของคนส่วนใหญ่

คนอื่นมาอยู่แทนบ้างได้ไหม

            การที่ชาวบ้านหรือชาวเขาครอบครองป่านับหมื่นไร่ ใช้ทำมาหากินกันเฉพาะคน 20 หลังคาเรือนนั้นมากไปหรือไม่ ชาวเขาทำตนเป็นอภิสิทธิชนหรือไม่ เพราะถ้าเป็นการปฏิรูปที่ดิน แต่ละครอบครัวจะได้เพียง 15 ไร่ รวมแล้วทั้งหมู่บ้านก็คงมีที่ทำกินไม่เกิน 300 ไร่เท่านั้น ถ้าบอกว่าชาวเขาเป็นแรงงานราคาถูกที่ช่วยรักษาป่า ก็คงต้องถามกันต่อว่า คนอื่นจะมาอยู่แทนบ้างได้ไหม

            1. ถ้ามีชาวบ้าน ชาวปกากะญอกลุ่มอื่น หรือชนเผ่าอื่นจะขอสิทธิอันนี้บ้างโดยขอเข้าประกวดอยู่แทนชาวเขากลุ่มนี้ ( เพราะถือเป็นคนไทยเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้มาบุกรุกอยู่ป่าเท่านั้น ) จะได้หรือไม่

            2. ถ้าชาวบ้านกลุ่มอื่นบอกว่าจะยินดีจ่ายภาษีมากกว่าชาวเขากลุ่มนี้ซึ่งไม่ได้เสียภาษีโดยตรงอยู่แล้ว จะคิดอย่างไร

            3. ยิ่งถ้าธุรกิจเอกชนยินดีจะขอเช่าป่า ( และรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม รวมทั้งปลูกป่าถาวรให้หนาแน่นยิ่งขึ้น ) เพื่อทำธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ( คล้ายกับที่ชาวเขาทำ “ โฮมสเตย์ ” ในปัจจุบัน ) และยินดีจ่ายภาษี ( อย่างงาม ) ให้กับทางราชการเพื่อนำไปทำนุบำรุงประเทศและประชาชน จะได้หรือไม่

            เราแน่ใจหรือว่า การที่ชาวเขาหรือชาวบ้านพื้นราบที่ไปจับจองป่า จะดูแลได้ดีกว่าคนอื่นในประเทศนี้ 

ที่ดินป่าเป็นของใคร

            ในกรณีชาวเขา เขาอาจอ้างว่าพวกตนอยู่มาก่อนนับร้อยปีแล้ว น่าจะเป็นเจ้าของทรัพยากร อันนี้คงต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า การเป็นเจ้าของคงหมายเฉพาะถึงการอยู่ในหมู่บ้านของตน แต่การ “ ตู่ ” เอาพื้นที่นับหมื่นไร่ไปใช้เสียเอง น่าจะมากเกินไป การที่เราจะอนุญาตให้ชนกลุ่มใดมา “ ถูกหวย ” ได้ทรัพยากรมากกว่าประชาชนกลุ่มอื่น อาจเป็นแนวคิดแบบ “ มือใครยาวสาวได้สาวเอา ” ที่ต้องทบทวน อย่างไรก็ตามหลายคนอาจคิดเพียงง่าย ๆ ว่าพวกเขาจน จึง “ ยกประโยชน์ให้จำเลย ” ไป โดยถือเสียว่าดีกว่าให้นักการเมืองหรือข้าราชการใหญ่โกงไป ทั้งที่ก็ต่างเป็นการโกงเหมือนกัน

            ทรัพยากรที่ดิน - ป่าไม้เป็นของส่วนรวม เป็นของทุกคนที่รวมกันเป็นประเทศชาติ ใครครอบครอง ใครได้ประโยชน์ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นการตอบแทนสังคมในรูปแบบหนึ่ง การที่รัฐบาลในฐานะกลไกของประเทศชาติขาดประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากร เราก็ต้องแก้ไขที่ต้นตอ ไม่ใช่หันหลังให้รัฐแล้วเข้าช่วงชิงทรัพยากรกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ( ในนามของ “ คนจน ”) แนวคิดเช่นนี้อาจต้องทบทวนให้ดีเพราะจะเป็นการสร้างและผูกปมปัญหาให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นก็ได้

            เราต้องให้ประชาชนอยู่ในเมือง จะให้ไปบุกรุกป่าไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ ป่าต้องเก็บไว้ และมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งอาสาสมัคร และยังต้องมีคนคอยตรวจตราอาสาสมัครอีกชั้นหนึ่ง เผื่อจะไป "ซูเอี๋ย" กับผู้บุกรุก ในยุคสมัยใหม่นี้ ภาคเกษตรลดบทบาทลงไปมาก รายได้ประชาชาติจากภาคเกษตรมีสัดส่วนเพียง 13% ของรายได้ประชาชาติ ในขณะที่ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมเป็นฐานหลักที่สำคัญที่สุด

            การอนุญาตให้ประชาชนเข้าใช้พื้นที่ป่าโดยไม่ต้องเช่า ไม่ต้องภาษี แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา จึงเป็นการทำลายชาติทางหนึ่ง

อ่าน 5,510 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved