AREA แถลงฉบับนี้ เป็นบทความซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th)
เมื่อก่อน ผมเข้าใจเหมือนคนไทยหลายคนว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่ใช้ระบอบเผด็จการ นั่นเป็นความคิดที่คับแคบของผมเอง แต่มาวันนี้ผมกลับมองว่าสิงคโปร์ต่างหากที่เป็นประเทศประชาธิปไตยที่แท้ เราลองมาถกกัน
บางคนบอกสิงคโปร์จะเป็นประชาธิปไตยได้ไง ยังมีการลงโทษป่าเถื่อนเช่นการเฆี่ยนผู้กระทำผิดอยู่เลย แต่หลายภาพหรือคลิปที่เราเห็นกัน อาจไม่ใช่ของจริง การลงโทษวิธีนี้เขาใช้กันมาตั้งแต่สมัยอังกฤษเข้าปกครองเมื่อ 200 ปีก่อน ในมาเลเซียก็ยังใช้ ในโรงเรียนที่มีชื่อของอังกฤษเองก็มีใช้การลงโทษนี้เช่นกัน
หลายคนมองว่าสิงคโปร์เป็นเผด็จการ ลีกวนยิวเคยพูดว่าคนไม่เท่ากัน เหมือนนิ้วมือของเราเอง แต่ความจริงอยู่ที่การตีความ ในอีกแง่หนึ่งก็คือ สิงคโปร์มีความเป็นประชาธิปไตยเพราะมีการเลือกตั้งอย่างเสรีมาโดยตลอดโดยไม่เคยมีข่าวการซื้อเสียงหรือบังคับลงคะแนนแต่อย่างใด ถ้าลีกวนยิวทำรัฐประหาร คนสิงคโปร์ผู้มีการศึกษาเป็นอย่างดี ดีกว่าชาวตะวันตกเสียอีก คงไม่ยอมเป็นแน่
บ้างก็ว่าสิงคโปร์เป็นเผด็จการเพราะถูกจัดอยู่ในอันดับท้ายๆ ของโลกในด้านเสรีภาพสื่อ แต่ในความเป็นจริง เขาไม่ให้สื่อมีอภิสิทธิ์ละเมิดคนอื่นต่างหาก สื่อไม่อาจลงข่าวยั่วยุสร้างความแตกแยก ไม่อาจลงภาพวับๆ แวมๆ ในวันอาทิตย์กันจนเป็นปกติเช่นหนังสือพิมพ์ไทย หรือไม่อาจด่าทอ "ท่านผู้นำ" หรือ "อีปูว์" อย่างสาดเสียเทเสีย สิงคโปร์ไม่ได้เป็นเผด็จการเพราะสื่อไม่ได้ถูกสั่งให้เชียร์รัฐบาลหรือห้ามลงข่าวฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเช่นในบางประเทศ
แต่สื่อก็มีเสรีภาพที่สมควร เช่น ครั้งหนึ่งลีกวนยิวและครอบครัวแค่ซื้อห้องชุดสุดหรูใจกลางเมืองโดยได้ส่วนลด 5-12% (http://bit.ly/1G44DzR) ก็ถูกสื่อถล่มหนัก (เพียงแต่ไม่ได้ด่าหยาบคายเช่นสื่อไทย) สิงคโปร์ได้รับการพิสูจน์ชัดว่าเป็นประเทศที่แทบจะไร้ทุจริต มีความโปร่งใสติดอันดับสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ความสุจริตเกิดขึ้นได้ในสมัยประชาธิปไตยที่โปร่งใสเท่านั้น ไม่อาจเกิดขึ้นในยุคเผด็จการทรราช เช่น สฤษดิ์ มากอส ซูฮาร์โต ที่เราเคยเห็น
บางคนบอกสิงคโปร์ไม่มีสิทธิกระทั่งเลือกที่อยู่ของตนเอง โดยคนสิงคโปร์มีเชื้อชาติหลักคือจีน (74%) มาเลย์ (13%) และอินเดีย (9%) ในการอยู่อาศัยในแต่ละอาคารนั้น จะต้องมีสัดส่วนผู้อยู่อาศัยที่ใกล้เคียงกันตามนี้ จะไม่ให้มีตึกหรือชั้นในตึกที่อยู่เฉพาะคนจีน หรือคนมุสลิมอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการแบ่งแยก มั่วสุมและการก่อการร้าย กรณีนี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
การที่รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ยอมให้มีการประพฤตินอกลู่นอกทาง ดูประหนึ่งเป็นเผด็จการ แต่ความจริงรัฐบาลเพียงรักษากฎกติกาของสังคมเช่นในประเทศตะวันตกที่ให้เสรีภาพเต็มที่ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดต่อผู้อื่น เช่น เราจะนั่งกินเหล้า ตีเกราะเคาะไม้อยู่หน้าบ้านจนดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ได้ ตำรวจจะมาจับในฐานที่ละเมิดต่อเพื่อนบ้าน สิงคโปร์และประเทศตะวันตกจึงดูคล้าย Unhappy Paradise ส่วนไทยอาจถือเป็น Happy Hell (ทำอะไรตามใจคือไทยแท้)
เราควรเข้าใจว่าการใช้กำลัง (กำปั้นเหล็ก) ลงโทษอย่างเฉียบขาดโดย (แทบ) ไม่มีการอภัยโทษ และจัดการกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย อย่างเสมอหน้ากัน เป็นการรักษาสิทธิตามหลักประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ ไม่ให้ถูกละเมิด จะให้ใครมาชุมนุมทางการเมืองอย่างยืดเยื้อรบกวน/ทำลายประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมไม่ได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจัดจุดชุมนุมทางการเมืองให้ คือ Speakers' Corner ไม่ใช่ชุมนุมกันสะเปะสะปะเช่นในประเทศไทย
อย่างไรก็ตามสิงคโปร์ก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตย 100% โดยมีรอยด่างเช่นกัน คือมีการคุมขังนาย Chia Thye Poh นานถึง 32 ปีโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม และยังมีประชาชนถูกจับกุมคุมขังทำนองนี้อยู่อีกราว 36 คน อย่างไรก็ตามสิงคโปร์ไม่มีข่าวการจับกุมหรือซ้อมผู้ต้องหาทางการเมือง ไม่มีการฆ่าถ่วงน้ำ ไม่มีการยิงทิ้งรัฐมนตรีข้างถนน ไม่มีการยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุม ไม่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ไม่มี ม.44 เป็นต้น
เท่านี้พอเห็นได้หรือยังว่าสิงคโปร์เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบกำมะลอ
ไม้เรียวเฆี่ยนเด็ก มีขายอยู่ทั่วไปในสิงคโปร์