ตอนนี้เรื่องกาสิโนหรือกาสิโน กำลังเป็นที่ถกเถียงกันเป็นอย่างมาก ดร.โสภณ จึงขอเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกาสิโนรอบๆ ประเทศไทยให้ “ฟังความรอบข้าง” เพื่อ “สังคมอุดมปัญญา”
ผมเคยไปกาสิโนที่มารินาเบย์แซนด์ส ประเทศสิงคโปร์ และอีกนับสิบแห่ง ผมยังเคยไปประเมินกาสิโน รวมทั้งที่ดินเพื่อพัฒนากาสิโนในกรุงเวียงจันทน์ วันนี้จึงขออนุญาตเขียนเรื่องกาสิโนสักหน่อยครับ
น่าแปลกที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา มีกาสิโนมากมาย เช่น มาเลเซียที่เป็นประเทศมุสลิม ก็มีเก็นติ้ง ตั้งมาเกือบ 40 ปี เดี๋ยวนี้ที่สิงคโปร์ก็มีกาสิโนถึง 2 แห่งคือที่มารินาเบย์แซนด์ส และที่เกาะสวนสนุกเซ็นโตซา ว่ากันว่าสิงคโปร์คงโหยหิวมานานเลยเล่นทีเดียว 2 กาสิโนซะเลย ยิ่งกว่านั้นที่มาเก๊าและฮ่องกงก็มีมานานแล้ว
หลังสงครามอินโดจีน เมื่อประเทศไทยสามารถเปลี่ยนจากสนามรบเป็นสนามการค้าได้ ประเทศโดยรอบก็มีกาสิโนเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะตามตะเข็บชายแดนไทยกับพม่า ลาว และกัมพูชา ไม่เฉพาะแต่กับชายแดนไทย ชายแดนกัมพูชา-เวียดนามก็มี ลาว-จีน หรือชายแดนหรือเมืองท่องเที่ยวเวียดนามที่ชาวจีนตอนใต้เช่นไหหลำมักไปท่องเที่ยวก็มีกาสิโน เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่ากาสิโนมีตามเมืองชายแดนแทบทุกแห่ง ยกเว้นในพื้นที่ประเทศไทย ผมจึงมักพูดเล่นเวลาบรรยายเรื่องมาตรฐานปฏิบัติและจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ในหลักสูตรปริญญาเอกหรือในเวทีต่าง ๆ บ่อย ๆ ว่าที่เมืองไทยไม่มีกาสิโนนั้นเพราะ "ฮุนเซ็น" คงซื้อคนสอนศีลธรรมไทยไปหมดแล้ว จึงมักสอนกันว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่พึงมีกาสิโน คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ "ฮุนเซ็น" ที่คงมีเอี่ยวในกาสิโนชายแดนไทย-เขมร ถ้าเราเกลียด "ฮุนเซ็น" เราต้องส่งเสริมให้ไทยมีกาสิโน รับรองว่ากาสิโนเขมรหรือชายแดนอื่นเจ๊งหมดแน่ เพราะลูกค้าล้วนแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น
ปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ประเทศไทยจะไม่มีกาสิโนอย่างเป็นทางการ หรือถือว่ากาสิโนเป็นสถานที่ผิดกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง มีกาสิโนอยู่มากมาย ตำรวจเข้าทลายกาสิโนเป็นระยะ ๆ และที่ไม่ทลายก็คงมีอีกเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่ามีกาสิโนทุกหัวระแหงก็ว่าได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีกาสิโนถูกกฎหมายอยู่เหมือนกัน เช่น การแข่งม้า เป็นต้น
ผมไปประเมินค่าที่ดินที่จะทำกาสิโนโดยนักลงทุนมาเลเซียในชายแดนลาวพบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาคิดเป็นเงินไทยคงไร่ละ 20 ล้านบาท ขณะที่ที่ดินฝั่งไทยที่ใช้เพื่อการเกษตรหรือทำธุรกิจทั่วไป คงมีราคาไร่ละไม่ถึงล้าน นี่เป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของศักยภาพของที่ดินที่ใช้ทำธุรกิจที่ได้กำไรงาม กับที่ใช้กันตามปกติ
สำหรับการเสียภาษีกาสิโนนั้น สิงคโปร์กำหนดให้กาสิโนต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และเสียภาษีของกิจการอีก 17% ทำให้รัฐบาลมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการนี้ สำหรับที่มาเลเซีย รัฐบาลเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายประมาณ 30% ส่วนที่มาเก๊าเขาเก็บหนักถึง 35% และยังหักเพื่อสังคมอีก 2-3% รวมแล้วเกือบ 40% ของรายได้สุทธิของกาสิโน สำหรับที่สหรัฐอเมริกา เสียภาษี 7.5% - 32% (มลรัฐอินเดียนา) ของรายได้สุทธิ
รายได้จำนวนมหาศาลนี้สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้มากมาย แต่หลายคนมองว่าเป็นภาษีบาป แต่ในความเป็นจริงนั้น คนที่เล่นการพนัน ก็มักจะเล่นเป็นอาชีพ เป็น "เซียน" แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ที่เล่นมักเป็นนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ซึ่งแต่ละคนอาจใช้จ่ายเงินหรืออีกนัยหนึ่ง "บริจาคเงินให้กาสิโน" เพื่อการนี้ไม่มาก แต่โดยที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาก จึงได้เงินจากส่วนนี้มากเป็นพิเศษ
บางท่านอาจกล่าวว่าการมีกาสิโนทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด อย่างกรณีคดีฆ่ากันตายนั้น อัตราของฮ่องกงคือ 0.2 สิงคโปร์ 0.3 มาเก๊า 0.7 ส่วนมาเลเซียคือ 2.3 สำหรับประเทศไทยที่ไม่มีกาสิโน กลับมีอัตราสูงถึง 4.8 นอกจากนั้นในกรณีของอินโดนีเซีย ก็มีอัตราสูงถึง 8.1 ทั้งที่ไม่มีกาสิโน ในความเป็นจริง การมีกาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจช่วยลดอาชญากรรมที่เกิดจากการมีกาสิโนผิดกฎหมายก็ได้
ในกรณีสิงคโปร์ ยังมีข้อกำหนดพิเศษว่า หากคนสิงคโปร์จะเข้ากาสิโน จะต้องเสียค่าธรรมเนียมหัวละ 100 เหรียญหรือประมาณ 2,500 บาท แต่หากเป็นชาวต่างประเทศ ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแสดงหนังสือเดินทางให้เห็นเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าประชาชนที่อยู่ตามเมืองกาสิโนนั้น ไม่ได้ติดการพนันกันงอมแงมดังที่เราเข้าใจ แม้จะอยู่ใกล้กาสิโนก็ตาม ผู้คนก็มีการเรียนรู้และมีภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง "คุณพ่อแสนดี" เช่น นายลีกวนยิว บิดาแห่งสิงคโปร์ไปเสียทุกเรื่อง
กรณีตัวอย่างหนึ่งก็คือรายได้ของกาสิโนในลาสเวกัสเป็นเงินประมาณ 155,010 ล้านบาท แต่มีรายได้จากค่าที่พักอีก 93,180 ล้านบาท และจากอาหารและเครื่องดื่มอีก 87,690 ล้านบาท ความพยายามของเก็นติ้ง และกาสิโน 2 แห่งในสิงคโปร์ และอาจรวมถึงเกาะกงของกัมพูชา ก็คงหมายมั่นที่จะมีรายได้จากการอื่นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
ลำพังการพัฒนาพื้นที่ การซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อการพนัน คงเป็นเงินไม่มากนัก และใช้พื้นที่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นที่พัก อาหารเครื่องดื่ม ตลอดจนแหล่งจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ โดยกรณีมารินาเบย์แซนด์ส มีศูนย์การค้าและศูนย์ประชุมขนาดใหญ่พิเศษสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวและการจัดงานประชุมสัมมนาและแม้กระทั่งงานแต่งงาน
ดังนั้นการใช้กาสิโนเป็นตัวชูโรง (Anchor Tenant) จึงคุ้มค่ามาก ทุกวันนี้ใครไปสิงคโปร์แล้วไม่ได้ไปพักหรือไปเที่ยวเล่นที่มารินาเบย์แซนด์ส ก็คงถือว่าไปไม่ถึงสิงคโปร์แล้ว การพัฒนากาสิโนจึงเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ